CNN, AP, รอยเตอร์สรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐเข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเวลาเที่ยงคืนวันอังคารต่อพุธเช้าตามเวลาท้องถิ่น (เช้าที่ 1 ตค.) ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตาย หลังจากสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องการขยายเส้นตายการลงมติร่างงบประมาณออกไปอีก 7 สัปดาห์ โดยสมาชิกพรรคเดโมแครตปฏิเสธที่จะขยายเส้นตายตามคำเรียกร้องของริพับลิกัน นอกจากริพับลิกันจะยอมปรับเปลี่ยนและโหวตผ่านนโยบายที่เป็นของเดโมแครต
โดยวุฒิสภาสหรัฐได้ลงมติ 55 ต่อ 45 เสียงในการผลักดันร่างงบประมาณ ซึ่งไม่ถึง 60 เสียงตามเกณฑ์ขั้นต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลกลางทั้งหมดต้องยุติทำการ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันพุธที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ยกเว้นหน่วยงานและกิจกรรมที่สำคัญเท่านั้น เช่นหน่วยงานที่เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ทั้งนี้คาดว่าการชัตดาวน์จะส่งผลกระทบต่อกิจการแทบทุกอย่างของสหรัฐตั้งแต่การคมนาคมขนส่งทางอากาศ, สำนักงานวิจัยวิทยาศาสตร์, ไปจนถึงหน่วยงานบริการต่างๆ ซึ่งจะทำให้ลูกจ้างต้องหยุดงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน ส่วนกองทัพ, สำนักงานตำรวจและ หน่วยงานด้านความมั่นคง ยังเปิดทำการตามปกติ แต่ไม่มีการจ่ายเงินเดือนจนกว่าคองเกรสจะผ่านร่างงบประมาณ
การเผชิญหน้ากันเรื่องงบประมาณของสหรัฐกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ท่ามกลางความขัดแย้งที่มากขึ้นระหว่างเดโมแครตและริพับลิกัน โดยครั้งนี้ พรรคเดโมแครตยืนกรานว่าร่างกฎหมายงบประมาณใดๆ ก็ตามจะต้องรวมเงินอุดหนุนด้านการดูแลสุขภาพเพิ่มเติมของประชาชนเข้าไปด้วย ขณะที่รีพับลิกันยืนยันว่าสองประเด็นจะต้องพิจารณาแยกกัน
ขณะที่ทรัมป์ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นด้วยการขู่จะยกเลิกโครงการที่พรรคเดโมแครตสนับสนุน และไล่พนักงานรัฐออกอีกหากรัฐบาลประสบภาวะชัตดาวน์และพวกที่จะถูกไล่ออกคือสมาชิกพรรคเดโมแครต
รัฐบาลสหรัฐชัตดาวน์ครั้งล่าสุดในปี 2561 และ 2562 เป็นเวลา 35 วัน ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นในรัฐบาลทรัมป์ 1 ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 9 หมื่น 7 พันล้านบาทคิดเป็น 0.02% ของจีดีพีสหรัฐ