“ดร.สามารถ” ถอดสมการเลือกหัวหน้าปชป. “ขั้วอำนาจเดิม” ได้เปรียบหลายขุม รอวัดใจโหวตเตอร์ ตัดสินใจทำเพื่อพรรคหรือใครแน่?

“ดร.สามารถ” ถอดสมการเลือกหัวหน้าปชป. “ขั้วอำนาจเดิม” ได้เปรียบหลายขุม รอวัดใจโหวตเตอร์ ตัดสินใจทำเพื่อพรรคหรือใครแน่?

 

ข่าวที่น่าสนใจ

16 กันยายน 2568 ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก “ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte” ระบุว่า

ศึกชิง “หัวหน้าพรรค ปชป.”
ใครคุมเกม?

อีกไม่นานพรรคประชาธิปัตย์จะมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่เพิ่งลาออกไป คำถามคือ… ใครจะเป็นผู้คุมเกมตัวจริง?

1. เกมตัวเลข… ใครคุมคะแนนเสียง?

ตามข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ “โหวตเตอร์” ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

(1) สส.ปัจจุบันมีคะแนน 40% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่

กลุ่ม สส.คือฐานกำลังที่แข็งที่สุด ใครกุมเสียง สส.ได้ก็มีโอกาสได้รับชัยชนะ ปัจจุบัน สส.ของพรรค ปชป.มีจำนวน 25 คน มีคะแนน 40% นั่นหมายความว่า สส. 1 คน จะมีคะแนนถึง 1.6% (40%/25)

(2) กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) มีคะแนน 20% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่

เดิม กก.บห. มีทั้งหมด 40 คน ลาออกไป 8 คน เหลือ 32 คน ในจำนวนนี้มีคนที่เป็น สส.ปัจจุบัน 8 คน เหลือ กก.บห.ที่ไม่เป็น ส.ส. 24 คน มีคะแนน 20% นั่นหมายความว่า กก.บห. 1 คน จะมีคะแนน 0.83% (20%/24)

(3) โหวตเตอร์อื่น เช่น อดีตหัวหน้าพรรค อดีตเลขาธิการพรรค อดีต สส. รัฐมนตรีของพรรคในปัจจุบัน อดีตรัฐมนตรีของพรรค หัวหน้าสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด เป็นต้น มีคะแนน 40% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่

ตามข้อบังคับพรรค โหวตเตอร์ทั้งหมดจะต้องมีอย่างน้อย 250 คน ดังนั้น จำนวนโหวตเตอร์อื่นจะต้องมีไม่น้อยกว่า 201 คน (250-25-24) มีคะแนน 40% นั่นหมายความว่าโหวตเตอร์อื่น 1 คน จะมีคะแนน 0.20% (40%/201) เท่านั้น ถ้าในวันเลือกตั้ง มีโหวตเตอร์เข้าร่วมมากกว่า 250 คน จะยิ่งทำให้โหวตเตอร์อื่นมีคะแนนต่อคนลดน้อยลงอีก

สรุปง่าย ๆ เสียง สส. และ กก.บห.แทบจะชี้ขาดทุกอย่าง เพราะมีคะแนนต่อคนสูง และส่วนใหญ่ยังอยู่ใน “ขั้วอำนาจเดิม”… นั่นคือคำตอบว่า “ขั้วอำนาจเดิม” เป็นผู้คุมคะแนนเสียง!

2. สมการชนะเลือกตั้ง

ลองคิดเล่นๆ… ถ้าได้คะแนนเสียงจาก สส. 21 คน คิดเป็น 33.6% บวกกับ กก.บห. 20 คน คิดเป็น 16.60% รวมแล้วได้ 50.20%… ชนะเลือกตั้งทันที!

นี่คือเหตุผลว่าทำไม “ขั้วอำนาจเดิม” จึงได้เปรียบ

3. ทำไม “คนนอกขั้วอำนาจเดิม” จึงสู้ยาก?

เหตุผลคือ กลุ่ม สส.รวมกับกลุ่ม กก.บห. มีคะแนนรวมถึง 60% ถ้าขั้วอำนาจเดิมรวมกันได้ครบ “คนนอกขั้วอำนาจ” แทบจะหมดสิทธิ์ตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม!

แต่ยังมี “สูตรคณิตศาสตร์การเมือง” ที่จะทำให้ “คนนอกขั้วอำนาจ” พอจะมีลุ้นคือ…

(1) ต้องเจาะเข้าถึง ส.ส.บางส่วน แค่ 4 คน ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ยังไม่พอ
(2) ต้องมีเครือข่าย กก.บห.ที่ยอมแหกค่าย
(3) ต้องกวาดคะแนนจากโหวตเตอร์อื่นอย่างน้อย 30-35% จากทั้งหมด 40% ซึ่งไม่ง่าย

4. สรุป

ถ้า “ขั้วอำนาจเดิม” เห็นว่าพรรคฯ อยู่ในสถานการณ์ที่คะแนนความนิยม “จมดิ่ง” ยากที่จะเข็นต่อไป และมีความรักพรรคฯ อย่างจริงใจ หันมาเปิดไฟเขียวให้หนุน “คนนอกขั้วอำนาจ”
พรรคฯ จะได้ผู้นำคนใหม่ที่มาจากนอกขั้วอำนาจเดิม มาช่วยกันฟื้นฟูพรรคฯ ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น แต่ถ้าขั้วอำนาจเดิมจับมือกันแน่น ผลลัพธ์แทบจะถูกเขียนไว้ล่วงหน้าแล้ว

สุดท้ายอยู่ที่ “โหวตเตอร์ทุกคน” จะเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เพื่อใคร? เพื่อส่วนรวม? หรือเพื่ออำนาจของบางกลุ่ม?

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ผู้นำฟิลิปปินส์หนุนม็อบลงถนนต้านทุจริต
ราคาประท้วงเนปาล สูญ 6.8 แสนล้าน-ตกงานเป็นหมื่น
"แม่ทัพกุ้ง" ย้ำปิดด่านชายแดน จนกว่าเขมรจะยอมศิโรราบ เหตุโชว์สันดานไร้จริยธรรม-ไม่เคารพกฎกติกาสากล
กาแฟกับคนรุ่นใหม่: สร้างคุณค่าให้อาชีพพ่อแม่ ผ่านมุมมองของคนรุ่นใหม่
"ทนายสีกาพลอย" หอบหลักฐานส่งกองปราบฯ แฉเส้นทางการเงิน พระดังปทุมฯ
"นายกฯอนุทิน" เข้าทำเนียบฯ ตรวจรายชื่อครม. นำขึ้นทูลเกล้าฯวันนี้

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​