ดูเหมือนความตั้งใจของพี่น้อง 3 ป. ที่ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่ต้องการทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นฐานการเมืองที่เข้มแข็งเป็นแกนนำค้ำเสถียรภาพรัฐบาลไปยาวๆ จนครบเทอมครบอายุการทำงานในต้นปี 2566 จะกลายเป็นฝันค้างงานกร่อยเสียแล้ว เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเกิดราวระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กับ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ จากประเด็นล็อบบี้พรรคเล็กเลื่อยขาคว่ำนายกฯในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องวุ่นไปหน้า ทะเลาะกันไม่จบงัดกันจนไม่เป็นอันทำงาน ทำไปทำมาตอนนี้พรรคพลังประชารัฐเลยกลายเป็นพรรคการเมืองที่วุ่นวายที่สุด เนื่องจากมีเรื่องขัดแย้งแทงข้างหลังกันเองไม่เว้นแต่ละวัน
ก่อนหน้านี้หลังร.อ.ธรรมนัสกับนฤมลพ้นจากครม.เรือแป๊ะไป ก็มีข่าวแต่ละขั้วแต่ละฝ่ายในพรรคเตรียมส่งคนเข้ามาฮุบเก้าอี้รัฐมนตรี 2 ตัวที่ว่างลง ถึงขนาดที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาเบรกว่ายังไม่คิดปรับครม.ไม่ว่าปรับเล็กหรือปรับใหญ่ เพราะตอนนี้ต้องการมีสมาธิแก้ไขปัญหาโควิด-19 และปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องน้ำท่วมของชาวบ้านในหลายพื้นที่ก่อน ถัดจากนั้นมาไม่นานพล.อ.ประวิตรก็ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งพล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ที่เป็นน้องรักของตัวเองเข้ามานั่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ท่ามกลางกระแสข่าวต้องการนำพล.อ.วิชญ์มาผนึกกำลังกับร.อ.ธรรมนัสและนฤมลเพื่อป้องกันการรุกคืบเข้ามาในพรรคของพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่ถัดมาไม่นานพล.อ.ประยุทธ์ก็เอาคืนด้วยการส่งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ เข้าไปนั่งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยมีการวิเคราะห์การส่งพีระพันธุ์เข้ามาอยู่ในพรรคของพล.อ.ประยุทธ์ก็เพื่อต้องการเป็นหูเป็นตาให้กับนายกฯ และแก้ไขปัญหาที่พล.อ.ประยุทธ์ถูกกล่าวหาว่าเป็นนายกฯขาลอยตีนไม่ติดพื้น ส.ส.เข้าถึงยาก ปิดหูปิดตาไม่ยอมรับรู้ปัญหาของชาวบ้าน ที่สำคัญคือการเข้ามาเป็นตาสับปะรดคอยจับตาดูความไม่ชอบมาพากลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย รวมหัวแจกกล้วยคว่ำนายกฯขึ้นอีกในอนาคต
ความจริงการเข้ามาของพีระพันธุ์ไม่น่าจะมีอะไรเป็นประเด็น แถมยังเป็นเรื่องน่ายินดีเสียอีกที่พรรคพลังประชารัฐได้คนเก่งๆอย่างพีระพันธุ์เข้าไปช่วยงาน ดีกรีอดีตผู้พิพากษา ส.ส.กรุงเทพหลายสมัย เป็นลูกหม้อพรรคประชาธิปัตย์มานาน เคยขึ้นสูงสุดถึงขั้นเป็นรมว.ยุติธรรมในสมัยอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก่อนตัดสินใจลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ 9 ธ.ค.2562 แต่วางง่านได้ไม่นาน 17 ธ.ค.ก็ถูกครม.แต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองโดนพล.อ.ประยุทธ์ช้อนมาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ก่อนประเคนงานสำคัญๆให้พีระพันธุ์ไปช่วยดูเพียบ โดยเฉพาะการเข้าไปฟื้นฟูการบินไทยที่ขาดทุนย่อยยับมหาศาล ถึงขนาดถูกตั้งให้เป็นบอร์ดการบินไทยเข้าไปช่วยดูแผนฟื้นฟูเจ้าจำปีให้ผลิดอกออกผลอีกครั้ง แต่ดูเหมือนการเข้าไปอยู่ในพรรคพลังประชารัฐคราวนี้ของพีระพันธุ์จะถูกรับน้องมีคนไม่ต้อนรับเสียแล้ว ทั้งๆที่เจ้าตัวยืนกรานหลังการรับตำแหน่ง “ท่านให้ดูทุกเรื่องให้ช่วยทุกเรื่องไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ผมเข้ามาดูในเรื่องโครงสร้างและหลักการทำงาน ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหาร ศึกษาการแก้ปัญหาของประเทศและประชนในด้านต่าง ๆ เช่น กฎหมาย เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การศึกษา เพื่อนำไปสู่การทำนโยบายพรรค” พีระพันธุ์ระบุชัดไม่มีเอี่ยวเรื่องบริหารงานภายในพรรค
แต่เพราะออกตัวแรงตั้งแต่เข้าพรรค แถมไปคุยโวในทำนองมีคนให้ความสนใจเข้าพรรคพลังประชารัฐจำนวนมากเพราะอยากทำงานกับตัวเอง เล่นใหญ่ใช้คำโตไม่พอพีระพันธุ์ยังโชว์พาวเวอร์ดึง ชื่นชอบ คงอุดม แกนนำพรรคพลังท้องถิ่นไท (พทท. ) ย้ายพรรคมาซบตักลุงป้อมเอาใจพี่ใหญ่แบบทันควัน แถมเวลาไล่เลี่ยกันยังมีข่าวออกมาในทำนองมีการวางตัวพีระพันธุ์เป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตบัญชีรายชื่อนายกฯ 3 คนที่พรรคพลังประชารัฐจะเสนอในการเลือกตั้งรอบหน้า เท็จจริงยังไม่รู้แต่คนที่ปล่อยข่าวเรื่องนี้หนึ่งในนั้นมีไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษาลุงป้อม เขียนโพสต์ในเฟซบุ้คมีการวางตัวพีระพันธุ์ไว้เป็นนายกฯสำรองไว้ด้วย เจอคนใหม่เข้ามาแสดงผลงานโชว์บทบาทใหญ่โตตัดหน้าเจ้าถิ่นแบบนี้มีหรือใครจะยอม ไม่แปลกที่สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. ต้องรีบออกมาดักคอมาเบรกพีระพันธุ์แบบหนักๆ อย่าฝันหวานอย่าเพิ่งเคลิ้มเรื่องเก้าอี้สร.1 เพราะถ้าเก่งถ้าเจ๋งจริงพรรคเก่าอย่างประชาธิปัตย์คงเสนอชื่อเป็นนายกฯไปแล้ว “ท่านก็เป็นนักการเมืองอาวุโส เคยอยู่พรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดในประเทศ หากท่านเหมาะสมก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ก็คงเสนอชื่อไปตั้งแต่รอบที่แล้ว พีระพันธุ์เพิ่งเข้ามาใหม่ เปรียบเสมือนพระบวชใหม่ เวลานั่งก็ต้องตามพรรษาถึงจะถูกต้อง ตนเคยเล่นหมากรุก เวลาจะออกตัวเดินเบี้ยเดินขุนก็ต้องดูตาม้าตาเรือด้วย ดังนั้นเชื่อว่าพีระพันธุ์คงรู้จักหมากรุกดีพอ” สิระทั้งเย็บซ้ายทั้งฮุคขวาก่อนปล่อยหมัดตรงสอนมารยาทพีระพันธุ์อย่าเด่นจะเป็นภัย เพิ่งเข้าพรรคมาแท้ๆแต่จะข้ามหัวคนอื่นขึ้นเป็นใหญ่มันก็เกินไปหน่อย เข้าพรรคมาไม่ทันไรดันออกตัวแรงจนยกล้อแบบนี้ พีระพันธุ์ก็ต้องโดนต้านถูกด่าเป็นธรรมดาเพราะเล่นใหญ่เกินเบอร์ไม่รู้จักวางตัว ถ้าไม่เพราะอีโก้สูงมั่นใจตัวเองมากงานนี้ก็ต้องบอกว่าต้องมีผู้ใหย่ให้ท้ายแน่นอนพีระพันธ์ุถึงกว่าพูดถึงขนาดนี้
อีกความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและสำคัญของพรรคพลังประชารัฐก็คือกรณีที่ร.อ.ธรรมนัสผลักดันคู่หูการเมืองอย่างนฤมลเข้าไปคุมพื้นที่กทม.ดูแลส.ส.พลังประชารัฐทั้ง 12 คน ของพรรค ด้วยเหตุที่ตัวเองงานเยอะไม่มีเวลาในการเข้าไปคลุกคลีตีโมงรับฟังปัญหาของผู้แทนเมืองหลวง ล่าสุดเลยแตะมือส่งนฤมลมาเป็นหูเป็นตาดูแลส.ส.ทั้งหมดแทน ข่าวว่านฤมลฟิตจัดนัดหมายพูดคุยกับส.ส.กทม.ของพรรคทั้ง 12 คนทุกอาทิตย์ ล่าสุดเจอกันไป 2 ครั้งแล้ว บรรดาส.ส.ก็ปรับทุกข์ผูกมิตร สะท้อนปัญหาความต้องการในแต่ละพื้นที่ให้นฤมลฟังเพื่อนำเรียนไปถึงพล.อ.ประวิตรและกรรมการบริหารพรรค แต่งานนี้ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเข้าใจหรือไม่ ตีความเจตนาความต้องการของส.ส.ทั้ง 12 คนได้มากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญคือจะสามารถผลักดันช่วยเหลือผู้แทนทั้งหมดของเมืองกรุงให้แก้ไขปัญหาสารพัดได้ทะลุปรุโปร่งหรือไม่ เพราะคนไม่เป็นนักการเมืองขนานแท้ ไม่เคยลงพื้นที่ ไม่เคยพบปะชาวบ้าน ได้ยินได้ฟังปัญหาอะไรอาจไม่เก็ตอาจไม่อิน ก็ต้องติดตามดูว่าบทบาทประธานกทม.ของนฤมลบัดดี้การเมืองของร.อ.ธรรมนัสในภารกิจใหม่จะเป็นอย่างไร
////////////////////
