เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลก ประกาศเดินหน้าเป้าหมาย “Zero Waste” อย่างเป็นรูปธรรม และต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด Forward Faster เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 8 การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน และเป้าหมายที่ 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ผ่านการออกแบบระบบจัดการทรัพยากร และขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้ก้าวข้ามจากแนวคิด “ใช้-ผลิต-ทิ้ง” สู่ “ใช้-ผลิต-ทิ้ง-แปรรูปเพิ่มมูลค่า” นับเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เพียง “ลดการใช้” แต่ยัง “เพิ่มคุณค่า” กลับคืนสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า “ทุกวันนี้ปัญหาขยะและมลภาวะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นแรงกดดันระดับโลกที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข เครือซีพี โดยดำริของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร ตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจไปสู่วิถีที่ยั่งยืน โดยนำนวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ 5Rs ได้แก่ Re-educate สร้างความรู้ความเข้าใจใหม่แก่พนักงานและผู้บริโภค, Reduce ลดการใช้พลาสติกตั้งแต่ต้นทาง, Recycle ใช้วัสดุรีไซเคิลได้พร้อมระบบจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ, Replace ใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ Reinvent ลงทุนในงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อลดการพึ่งพาพลาสติกดั้งเดิม”
นอกจากนี้ดร.ธีระพล ยังระบุว่า “Zero Waste จึงไม่ใช่เพียงการจัดการขยะหรือของเสีย แต่คือการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ฟื้นฟูทรัพยากร และส่งคืนคุณค่ากลับสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม เครือซีพีเชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อเปลี่ยนความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน” ดร.ธีระพลกล่าวเสริม พร้อมย้ำถึงเป้าหมายปี 2573 ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์กำหนดไว้ในการเป็นองค์กร Zero Waste และ Zero Carbon
สำหรับผลสำเร็จที่จับต้องได้ในปี 2567 หรือปีที่ผ่านมา ได้แก่ 93.61% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ออกแบบให้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้, 86.91% ของเสียจากการผลิตถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์ และการจัดการอาหารส่วนเกินกว่า 1,417 ตัน เพื่อส่งต่อสู่ผู้เปราะบางในสังคม คิดเป็น 4,050,113 มื้ออาหาร ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างแท้จริง
โดยที่ผ่านมาเครือเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มธุรกิจยังดำเนินบทบาทเชิงรุก โดยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนกลไก Extended Producer Responsibility (EPR) ตลอดจนการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Business Coalition for a Global Plastics Treaty ร่วมกับกลุ่มภาคธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่า และเพื่อผนึกกำลังร่วมสนับสนุนการจัดทำสนธิสัญญาระดับโลก ที่มีเป้าหมายยุติมลพิษจากพลาสติก โดยมีโครงการที่สำคัญ อาทิ โครงการส่งเสริมการเก็บบรรจุภัณฑ์ไปรีไซเคิล โดยรณรงค์และสนับสนุนให้ลูกค้าและผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการแยกขยะ เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัปไซเคิล พร้อมขยายเครือข่ายพันธมิตรรีเทลและรีไซเคิล จัดตั้งจุดรับบรรจุภัณฑ์ทั่วประเทศ เพื่อรวบรวมและนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้จริง โดยสามารถรับคืนพลาสติกกว่า 458,605 กิโลกรัม และกล่อง-ลังกระดาษกว่า 32 ล้านกิโลกรัม
ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังมีผลงานการดำเนินโครงการ Zero Waste ที่สำคัญ ดังนี้
- ธุรกิจค้าปลีก โดย บมจ. ซีพี ออลล์ – 7-Eleven และ ALL Café: ร่วมมือกับมูลนิธิ Scholars of Sustenance (SOS) ซึ่งเป็นมูลนิธิกู้ภัยอาหารแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานบริหารจัดการอาหารของประเทศไทย และ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า ผู้ดำเนินธุรกิจ “แม็คโคร – โลตัส” ที่มุ่งลดขยะอาหารสู่หลุมฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero Food Waste to Landfill) ภายในปี 2573 ผ่านโครงการหลัก “ลดทิ้ง สร้างค่า AXTRA Zero Waste” โดยร่วมมือกับพันธมิตร นำนวัตกรรมสีเขียวมาจัดการขยะอาหาร เปลี่ยนสิ่งที่เคยถูกทิ้ง นำมาสร้างประโยชน์ ต่อสังคม เกษตรกร และสิ่งแวดล้อม ซึ่งภายใต้โครงการหลักจะประกอบด้วย 2 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1) “กินได้ไม่ทิ้งกัน” การสนับสนุนอาหารส่วนเกินที่ยังมีคุณภาพดี และไม่หมดอายุ ส่งต่อไปยังผู้ที่ต้องการ เช่น ครอบครัวรายได้น้อยในชุมชน ผ่านความร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร โดยโครงการ BKK FOOD BANK รวมถึงกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และ SOS 2) “ขยะเป็นศูนย์ ประโยชน์เป็นแสน” ที่เน้นการจัดการขยะอาหารอย่างยั่งยืน โดยนำนวัตกรรมสีเขียวมาเปลี่ยนขยะอาหารเป็นประโยชน์ เพิ่มมูลค่า เช่น การเลี้ยงแมลงโปรตีน BSF ให้เกษตรกร ลดต้นทุนอาหารสัตว์และสร้างสินค้าใหม่ เพิ่มรายได้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
- ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร (ซีพีเอฟ): ผนึกกำลังร่วมกับมือพันธมิตรทางธุรกิจ ผลักดันโครงการทดลองนำเศษเปลือกไข่กลับมาใช้เป็นวัตถุดิบทางเลือกในกลุ่มการผลิตสินค้าสุขภัณฑ์ โดยปริมาณการทดลองใช้เปลือกไข่ในการผลิตสินค้ากลุ่มสุขภัณฑ์มากกว่า 40 ตัน มีเป้าหมาย 800 ตันต่อปี
- ธุรกิจโทรคมนาคม (ทรู คอร์ปอเรชั่น): จัดโครงการ “e-Waste HACK BKK 2024” รวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์กว่า 03 ล้านชิ้น เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ถูกต้อง พร้อมต่อยอดเป็นเวทีนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าใหม่จากทรัพยากรที่เคยถูกทิ้ง โดยความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทููตสวีเดน ประจำประเทศไทย กรุุงเทพมหานคร คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุุณทหารลาดกระบัง และบริษัท เอสเค เทส ไทยแลนด์ จำกัด
- ธุรกิจในต่างประเทศ (ประเทศจีน): โครงการฟาร์มสุกรขนาดใหญ่แบบบูรณาการ เมืองเซียงหยาง มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน เกิดจากความร่วมมือระหว่างเครือเจริญโภคภัณฑ์และรัฐบาลท้องถิ่น มุ่งพัฒนาการจัดการฟาร์มสุกรควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ครอบคลุมพื้นที่ 10 อำเภอ 23 หมู่บ้าน เกษตรกรเข้าร่วม 216 ครัวเรือน รวม 3,240 คน โดยฟาร์มที่เข้าร่วมดำเนินงานตามกรอบ Zero Waste อาทิ นำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดจากฟาร์ม และกากตะกอนอินทรีย์ที่เกิดขึ้นจากระบบชีวภาพ กลับไปใช้ประโยชน์กับพื้นที่ปลูกข้าวโพด เป็นต้น ของเสียจากฟาร์มนำไปใช้ประโยชน์ได้ 100%
ล่าสุด เครือเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มธุรกิจในเครือฯ ทั้ง CPF, CPALL, CPAXTRA และ CPPC ได้รวมพลังสะท้อนพันธกิจ Zero Waste ของเครือฯ ผ่านการสนับสนุนกิจกรรม SPOGOMI WORLD CUP 2025 THAILAND Qualifiers การแข่งขันกีฬาเก็บขยะระดับโลก ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ พาร์คพารากอน สยามพารากอน โดยมีพันธมิตรหลัก ได้แก่ จี-ยู ครีเอทีฟ และสยามพิวรรธน์ กิจกรรมนี้ใช้ “กีฬา” เป็นสื่อสร้างพฤติกรรมใหม่ กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปหันมาใส่ใจการจัดการขยะในชีวิตประจำวัน เครือซีพีมองว่าการมีส่วนร่วมครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ขยายผลได้จริงในระดับสังคม
พร้อมกันนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังสืบสานมรดกแห่งสายน้ำ ผ่านโครงการ สืบสานมรดกแห่งสายน้ำ–แม่น้ำเจ้าพระยา โดยจัดกิจกรรมต่างๆ บนพื้นที่สาธารณะและชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ การติดตั้ง ทุ่นดักขยะ เฟสแรกยาวกว่า 3 กิโลเมตร จากสะพานตากสินถึงสะพานพระปกเกล้า เริ่มติดตั้งที่ท่าเรือไอคอนสยามก่อนขยายไปยังท่าเรืออื่นๆ ตลอดจนกิจกรรม เก็บขยะเนื่องในวันแม่น้ำโลก (26 กันยายน 2568) และ เก็บกระทงในวันลอยกระทง (5 พฤศจิกายน 2568) และรวมถึงการติดป้ายรณรงค์ไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำและเผยแพร่กฎระเบียบการใช้แม่น้ำเจ้าพระยา
โครงการนี้ยังมีบอร์ดนิทรรศการมรดกแห่งสายน้ำ–แม่น้ำเจ้าพระยา ติดตั้งบริเวณท่าเรือสำคัญ ได้แก่ ท่าเรือไอคอนสยาม ท่าเรือสาทร ท่าเรือสี่พระยา ท่าเรือราชวงศ์ และท่าเรือท่าดินแดง ทั้งสองโครงการสะท้อนความตั้งใจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการสร้าง ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งการส่งเสริมพฤติกรรมใหม่ การจัดการขยะอย่างยั่งยืน และการฟื้นฟูแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเป็นรูปธรรม
การขับเคลื่อนสู่ Zero Waste ของเครือเจริญโภคภัณฑ์จึงไม่เพียงแต่สร้างผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อม แต่ยังเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตอกย้ำเจตนารมณ์ของเครือฯ ในการ Forward Faster เดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างมั่นคง ครอบคลุม และขยายผลในระดับโลก