ลุยไม่หยุด Warroom IAC สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเกมรุกยึดเงินคืนผู้เสียหาย ได้เงินคืน 32.25%

วันที่ (11 กันยายน 2568) เวลา 13.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้บัญชาการ ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) หรือ International Anti-Scam and Human Trafficking Syndicate Command Center (IAC) ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. แถลงผลการปฏิบัติของ “Warroom IAC” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการกวาดล้างเครือข่าย ระงับบัญชี ติดตามเงินคืนผู้เสียหาย ตามปฏิบัติการ “MONEY CASH BACK ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน” โดยมี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.)/ที่ปรึกษา ศกค. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลง ณ ห้อง “Warroom IAC” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้เดินหน้าขับเคลื่อน “Warroom IAC” ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง และการเงิน ทั้งในประเทศและหน่วยงานระหว่างประเทศ อาทิ UNODC, FBI และ Interpol รวมทั้งหน่วยงานบังคับใช้กฏหมายของประเทศตาางๆ เพื่อจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างบูรณาการ ผลการปฏิบัติการของ “Warroom IAC” ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับฝ่ายการเงินการธนาคารของสถาบันการเงินต่างๆ สามารถดำเนินการตรวจสอบและอายัดบัญชีของเคสที่ส่งเข้ามาในวอร์รูม โดยตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม – 10 กันยายน 2568 มีจำนวนเคสที่นำเข้าวอร์รูม 582 เคส มูลค่าความเสียหายรวม 335,932,861 บาท จากการดำเนินการของวอร์รูม สามารถอายัดได้ 267 เคส (45.88%) มูลค่าทรัพย์สินที่อายัดได้ 108,329,038 บาท (32.25%) มีการจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 90 ราย (ไทย 65 ราย ต่างชาติ 25 ราย) มีการออกหมายจับ 47 ราย และช่วยเหลือผู้เสียหายที่ไม่รู้ตัว 2 ราย

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ในโครงการ “MONEY CASH BACK” ดำเนินการไปแล้ว 40 ครั้ง รวมจำนวนเงินกว่า 239 ล้านบาท โดยล่าสุดสามารถติดตามเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงให้โอนเงิน และสามารถดำเนินการตามขั้นตอนจนสามารถนำเงินคืนผู้เสียหายได้อีก จำนวน 3 ราย ดังนี้

รายที่ 1 : ผู้เสียหายต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการเทรดและการลงทุนด้านต่างๆ จึงได้ค้นหาข้องมูลผ่านเฟซบุ๊ก จนได้พบกับเพจมิจฉาชีพที่โพสต์แนะนำเกี่ยวกับการลงทุน โดยแอบอ้างชื่อ “นายแพทย์ พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี” นักลงทุนชื่อดังเป็นผู้ชักชวนลงทุน ผู้เสียหายสนใจจึงกดลิงก์ใต้โพสต์ดังกล่าว และเข้าร่วมกลุ่มไลน์ชื่อ “MARKET MASTERMIND 26” พบว่ากลุ่มดังกล่าวมีสมาชิกประมาณ 500 คน จากนั้นได้มีการสอนเกี่ยวกับการดูกราฟการลงทุน เมื่อเรียนรู้แล้วผู้เสียหายจึงสนใจร่วมลงทุน คนร้ายจึงแนะนำให้เข้าเว็บไซต์ macqconnect .com แล้วเริ่มโอนเงินลงทุนในครั้งแรก จำนวน 100,000 บาท ปรากฎว่าได้รับกำไรเป็นเงินจำนวน 32,315.92 บาท ประกอบกับบัญชีธนาคารที่คนร้ายให้โอนเงินไปร่วมลงทุนเป็นบัญชีบริษัท (ม้านิติบุคคล) จึงทำให้หลงเชื่ออย่างสนิทใจ ต่อมาผู้เสียหายจึงโอนเงินไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงธันวาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 รวมจำนวน 16 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 12,650,000 บาท (9 บัญชี 4 ธนาคาร 6 ผู้ต้องหา 7 บริษัท) ต่อมาผู้เสียหายเห็นเลขกำไรรวมทุนในระบบเป็นจำนวน 18,553,991.92 บาท จึงต้องการถอนเงินออก ปรากฏว่าระบบให้ผู้เสียหายโอนเงินเพิ่มจำนวน 1,000,000 บาท จึงรู้ตัวว่าโดนหลอก และเข้าแจ้งความในเวลาต่อมา
จากกรณีดังกล่าว กก.2 บก.สอท.1 ได้รวบรวมพยานหลักฐานและสืบสวนติดตามผู้ต้องหาในขบวนการได้แล้วบางส่วน และเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถประสานงานธนาคารเพื่ออายัดเงินในบัญชีธนาคารของบริษัท ไอซีเอพี พรีเมี่ยม จำกัด ของนายณฐภัทรฯ หนึ่งในผู้ต้องหา ซึ่งผู้เสียหายได้โอนเข้าบัญชีดังกล่าว และเจ้าหน้าที่สามารถอายัดไว้ได้ จำนวน 1,000,000 บาท

รายที่ 2 : ผู้เสียหายได้พบเพจเฟซบุ๊กที่ให้ความรู้เรื่องการลงทุนหุ้น ชื่อบัญชี “Dr.Tiraphong” ต่อมาผู้เสียหายสนใจลงทุนจึงแอดไลน์ชื่อ “Gale Guide” ซึ่งผู้ใช้ไลน์ได้แสดงตนเป็นผู้ช่วยของ Dr.Tiraphong อ้างว่าจะมาให้ความรู้ ต่อมาคนร้ายจึงดึงผู้เสียหายเข้ากลุ่มไลน์ “Thai stock” ซึ่งในกลุ่มมีสมาชิก 19 คน ได้พูดคุยเกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ ทำให้หลงเชื่อว่ามีการลงทุนจริงๆ ผู้เสียหายจึงโหลดแอปพลิเคชัน GBE MAX ลงในโทรศัพท์เพื่อใช้โอนเงินลงทุน แล้วได้โอนเงินเพื่อลงทุนไปทั้งหมด 9 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 2,335,484.82 บาท แต่เมื่อผู้เสียหายต้องการถอนเงินออกจากในระบบ ปรากฏว่าไม่สามารถถอนได้ จึงได้เข้าแจ้งความในเวลาต่อมา

 

 

จากกรณีดังกล่าว กก.3 บก.สอท.1 ได้รวบรวมพยานหลักฐานและสืบสวนติดตามผู้ต้องหาในขบวนการได้แล้วบางส่วน และสามารถประสานงานธนาคารเพื่ออายัดเงินในบัญชีธนาคารของนายสุพินิดฯ หนึ่งในผู้ต้องหาไว้ได้ ซึ่งผู้เสียหายได้โอนเข้าบัญชีดังกล่าวตามที่ถูกหลอกลวง จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 598,041.82 บาท

รายที่ 3 : ผู้เสียหายรายหนึ่งพบโฆษณาบนเฟซบุ๊ก ชักชวนให้ผู้เสียหายเข้าร่วมกลุ่มไลน์เพื่อขายเสื้อผ้ามือสอง
ของผู้เสียหาย ต่อมาคนร้ายให้ผู้เสียหายโอนเงินทำภารกิจเพื่อลงทะเบียนร้านค้า และเปิดการมองเห็น โดยอ้างว่าสามารถถอนเงินได้ภายหลังเมื่อทำภารกิจสำเร็จ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงิน ปรากฏว่าใน 2 ครั้งแรก ได้รับเงินกลับคืนมาจริง จึงมั่นใจว่าทำแล้วได้เงิน จึงได้โอนเงินเพิ่มอีกหลายครั้งไปยังบัญชีธนาคารปลายทางทั้งหมด จำนวน 12 บัญชี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 2,319,729.40 บาท แต่สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินกลับคืนมาได้ จึงได้เข้าแจ้งความในเวลาต่อมา

จากกรณีดังกล่าว กก.1 บก.สอท.2 ได้ใช้ชุดสืบสวนและพนักงานสอบสวนในสังกัด รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในขบวนการ จนสามารถออกหมายจับได้แล้วหลายราย โดยล่าสุดสืบสวนพบว่า นายสุภวัชฯ อายุ 26 ปี หนึ่งในขบวนการ ได้ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำพิเศษพัทยา พนักงานสอบสวนจึงได้อายัดตัวเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา

 

จากกรณีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถประสานงานธนาคารเพื่ออายัดเงินในบัญชีธนาคารของนายสุภวัชฯ ไว้ได้ จำนวน 399,527.20 บาท เบื้องต้นเจ้าตัวรับสารภาพว่าได้นำบัญชีไปให้ผู้อื่นใช้งาน โดยตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินที่อายัดไว้ จึงขอไม่โต้แย้งในกรรมสิทธิ์และยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งมอบเงินในบัญชีตามจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่ผู้เสียหาย จึงอายัดไว้ได้ทั้งสิ้น 399,527.20 บาท

วันนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดติดตามคดี ได้ร่วมกันนำเงินจำนวน 1,997,569.02 บาท คืนให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 3 ราย ตามโครงการ “MONEY Cash Back” ของ ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) หรือ International Anti-Scam and Human Trafficking Syndicate Command Center (IAC) โดยปฏิบัติการ “MONEY Cash Back” นี้ จะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่องเพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงให้โอนเงินให้ได้มากขึ้น

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ผลที่สุด ก็คือการที่ประชาชนเท่าทันมิจฉาชีพ
โดยติดตามข่าวสารจากทางราชการ หรือหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ โดยย้ำให้ประชาชนตรวจสอบตัวท่านเองว่า “มีเจ้าหน้าที่วิดีโอคอลเข้ามาและให้โอนเงินจากบัญชีของท่านไปตรวจสอบหรือไม่ โดยอ้างว่าท่านได้ทำผิดกฏหมาย” หรือ “ท่านกำลังลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งให้ผลตอบแทนเป็นอย่างดีจากเพจต่างๆ โดยที่ท่านไม่เคยพบผู้ที่แนะนำให้ท่านลงทุนโดยส่วนตัวเลย หรือไม่เคยไปยังที่ตั้งของบริษัทหรือของบุคคลนั้นเลย” ให้ท่านสันนิษฐานว่าท่านกำลังตกเป็นเหยื่อของแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ หากท่านต้องการคำปรึกษาหรือสอบถามความชัดเจน ให้ติดต่อสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ท่าน หรือโทรติดต่อหมายเลข 1441 ได้ตลอดเวลา นอกจากนั้นจะขอเตือนผู้ท่ี่ไปโพสต์หาคนกดเงิน ขนเงิน เปิดบัญชีม้า หรือซิมผี จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ซึ่งศาลได้เคยมีคำพิพากษาไปแล้วสำหรับบัญชีม้า มีโทษจำคุกถึง 41 ปี และคนที่จัดหาบัญชีม้า ต้องโทษถึง 119 ปี

 

ศูนย์ข่าว TOPNEWS ทั่วไทย รายงาน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) จีนพัฒนา 'กาวติดกระดูก' แนวทางใหม่รักษากระดูกหัก
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) ทุ่งหญ้าเลี้ยง 'แกะเจ๋อคู่' แหล่งขนสัตว์คุณภาพสูงในชิงไห่
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) 'โคมไฟ-พลุ-โดรน' ประดับผืนฟ้า-ริมน้ำในกุ้ยหลิน
รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรชัยมงคล
สุพรรณบุรีสมาคมกีฬาจักรยานฯ จัดอบรมพัฒนาผู้ตัดสินกีฬาจักรยานอาชีพประเภทถนน
สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 แถลงข่าวผลการดำเนินงานในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​