โฆษกทบ. ยืนยันไทยวางเครื่องกีดขวาง ปกป้องตนเอง ในเขตอธิปไตยไทย ไม่ผิดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมร่วมมือแก้ปมพื้นที่ชายแดนสระแก้ว

โฆษกทบ. ยืนยันไทยวางเครื่องกีดขวาง ปกป้องตนเอง ในเขตอธิปไตยไทย ไม่ผิดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมร่วมมือแก้ปมพื้นที่ชายแดนสระแก้ว

โฆษกทบ. ยืนยันไทยวางเครื่องกีดขวาง ปกป้องตนเอง ในเขตอธิปไตยไทย ไม่ผิดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมร่วมมือแก้ปมพื้นที่ชายแดนสระแก้ว

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ตามที่สำนักข่าว Khmer Times นำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 9 ก.ย.68 ว่า “มีกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมกัมพูชาออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กดดันไทยยุติการรุกล้ำและการล้อมรั้วในดินแดนกัมพูชา เป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง สร้างความไม่เป็นธรรมแก่กัมพูชา และเพิ่มความตึงเครียดอย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทุของความขัดแย้งด้วยอาวุธอีกครั้ง” นั้น

 

พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่าหากวิเคราะห์ดูแล้ว พบว่ากัมพูชามีการใช้ภาคประชาสังคมเข้ามากดดัน ทั้งการแสดงออก ณ บริเวณพื้นที่ชายแดน และการสื่อสารผ่านสื่อ เพื่อหวังให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของต่างประเทศเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้จะเห็นได้จากการที่กัมพูชาได้ใช้มวลชนและประชาชนเข้ามาแสดงพฤติกรรมที่ยั่วยุหรือไม่เหมาะสมต่อทหารไทยในบริเวณบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว โดยเป็นไปในลักษณะคล้ายกับประเด็นนี้ ต่างแค่เปลี่ยนสถานที่หรือเวทีในการแสดงออก ซึ่งข้อมูลที่กัมพูชาได้กล่าวอ้างหรือเรียกร้องต่อสหรัฐฯ ไปนั้น ล้วนเป็นเนื้อหาที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น

กองทัพบกยืนยันว่าทุกการปฏิบัติการทางทหาร เป็นไปตามสิทธิและขอบเขตที่กำหนดตามหลักสากล ไม่เคยกระทำการใดๆ หรือรุกล้ำพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะที่กัมพูชาได้กล่าวอ้างเรื่องการจัดวางรั้วลวดหนามนั้น หน่วยทหารในพื้นที่ดำเนินการภายในเขตประเทศไทย เพื่อป้องกันตนเอง ป้องกันประเทศ และดูแลความปลอดภัยให้ประชาชน ตามมาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่ในทางกลับกัน เป็นฝ่ายกัมพูชาที่ยังคงละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงที่ได้ให้ไว้ ทั้งการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิด PMN-2 ในพื้นที่ประเทศไทย เพื่อหวังทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทย, การปรับฐานที่มั่นทางทหาร ในบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์หรือพื้นที่ที่เป็นเขตของประเทศไทย อาทิ ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์, การสร้างสถานการณ์ยั่วยุต่อทหารไทย ตลอดจนการให้ข่าวสารข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริงต่อสาธารณะและนานาชาติ ดังเช่นเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดต่อข้อตกลง และพยายามเพิ่มความตึงเครียดของสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชามากขึ้น ขณะที่ฝ่ายไทยที่ปฏิบัติตามข้อตกลงมาโดยตลอด

ขณะเดียวกันในส่วนของประเด็นเรื่องพื้นที่ที่อยู่ในเขตประเทศไทย แต่พบการรุกล้ำของชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งถิ่นฐานและชุมชนตั้งแต่ในอดีตและไม่ยอมเดินทางกลับประเทศ ได้แก่ บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง รวมทั้งบ้านบึงตะกวน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว โดยประเทศไทยได้ทำการยื่นหนังสือประท้วงไปหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผลและไม่ได้รับความร่วมมือในการจัดระเบียบพื้นที่จากทางฝั่งกัมพูชา ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้สร้างความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมากในการจัดการพื้นที่และการเสียผลประโยชน์ในที่ดินทำกิน ซึ่งหากกัมพูชาต้องการร่วมแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ควรนำประเด็นดังกล่าวเข้าร่วมหารือในเวทีการประชุมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแสดงออกปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆ อย่างจริงใจ แทนที่จะพยายามเรียกร้องหรือกล่าวอ้างให้ข้อมูลที่บิดเบือน

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สมศักดิ์ ลงพื้นที่เพชรบูรณ์ เปิดงาน ‘คนไทยห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง’
ตำรวจท่องเที่ยว “โชว์รถปฏิบัติการอัจฉริยะ” ต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยวภูเก็ต
“นายกฯอนุทิน” ขออย่ากังวล ย้ำทำตามสัญญา 4 เดือนยุบสภาฯแน่ ไม่กดดันปมทำประชามติแก้รธน.
ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยเข้าร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีสิ่งเสพติดรายสำคัญ ผู้ต้องหา จำนวน 2 คน พร้อมของกลางสิ่งเสพติด จำนวน 2,999,600 เม็ด ในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
นายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก วอน “รัฐบาลอนุทิน” ให้สิทธิเข้าถึงโครงการคนละครึ่งกับคนพิการแบบถ้วนหน้า
หนองไผ่ อ่วม น้ำท่วม 8 ตำบล 42 หมู่บ้าน กระทบ 310 ครัวเรือน

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​