“คณะรวมพลังแผ่นดินฯ” บุกสภาฯ จี้รัฐยกเลิก MOU43-44 หนุนยึดแผนที่ 1 : 50,000 “หมอตุลย์” ซัดเดือดอัปยศ ทำไทยเสียเปรียบเขมร

กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำมวลชนไปชุมนุมพิเศษ แสดงจุดยืนไม่เอา MOU 43-44 หนุนยึดแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ด้านแกนนำ คปท. เชื่อแก้ไขปัญหาการปะทะอย่างยั่งยืน พร้อมเชื่อมั่นกระบวนการศาลยุติธรรม คดีคลิปเสียง “หลานอิ๊งค์-อังเคิลฮุน” ด้าน นพ.ตุลย์ ซัด (MOU) ฉบับที่ 43 และ 44 เป็น "MOU อัปยศ" ที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบมาโดยตลอด ชี้ มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งถูกแนบไว้ในสนธิสัญญาระหว่างไทยและฝรั่งเศสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 หรือกว่า 100 ปีที่ผ่านมา มีโอกาสคลาดเคลื่อนสูง และอาจถูกจัดทำขึ้นโดยไม่มีความถูกต้องทางเทคนิค ทำให้ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในการแบ่งเขตแดนอย่างยุติธรรมได้

“คณะรวมพลังแผ่นดินฯ” บุกสภาฯ จี้รัฐยกเลิก MOU43-44 หนุนยึดแผนที่ 1 : 50,000 “หมอตุลย์” ซัดเดือดอัปยศ ทำไทยเสียเปรียบเขมร – Top News รายงาน

 

 

คณะรวมพลังแผ่นดินฯ

 

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น.  กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน และนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. ได้นำมวลชนมาชุมนุมพิเศษที่ลานประชาชน รัฐสภา ถนนสามเสน กรุงเทพฯ ซึ่งได้เริ่มทำกิจกรรมกันตั้งแต่ช่วงเช้า บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยผู้มาร่วมทำกิจกรรมทยอยเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง บางส่วนร้องรำทำเพลงอยู่ที่บริเวณด้านหน้าเวที รวมไปถึงมีการสลับผลัดเปลี่ยนกันปราศรัยบนเวที

นายพิชิต กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการนัดชุมนุมพิเศษว่า ต้องการที่จะสื่อสารไปยังสมาชิกรัฐสภา เนื่องจากสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เสนอญัตติไปที่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่จะให้ยกเลิก MOU 43 และ 44 ซึ่งก็ตรงกับข้อเรียกร้องของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ว่าเราไม่เห็นด้วยใน MOU ทั้ง 2 ฉบับ ที่ยึดแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน เพราะมันจะกลายเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน ระหว่างไทย และกัมพูชา เราอยากให้มีการยกเลิก และสร้างกรอบการเจรจาใหม่ ให้เป็นแบบทวิภาคี โดยยึดแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 5 หมื่น ที่ทหารได้ยึดใช้

โดยเชื่อว่าวันนี้สมาชิกวุฒิสภาราษฎร ที่ทำหน้าที่นิติบัญญัติ ควรตระหนักให้มากขึ้น ที่ผ่านมาข้อเรียกร้องของพี่น้องประชาชน ก็เรียกร้องมาหลาย 10 ปี วันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า กรณีการสู้รบกัน 5 วันที่ผ่านมา บริเวณปราสาทตาควาย ต่างยึด MOU ที่มีอัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน จนทำให้เกิดปัญหา ดังนั้นเพื่อการแก้ปัญหา สมาชิกวุฒิสภา ควรจะคำนึงเหมือนที่ทหารเขาทำ แล้วก็เชื่อว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาการปะทะอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยจะต้องมีทิศทาง และธงที่ชัดเจน

 

 

 

นอกจากนี้ นายพิชิต ยังกล่าวถึงกรณีศาลไต่สวนคดีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า การที่นายกรัฐมนตรีสามารถชี้แจงต่อศาลได้ ถือเป็นเรื่องที่ดีที่นายกรัฐมนตรีจะได้อธิบายข้อเท็จจริง เพราะสังคมกำลังติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด ส่วนกรณีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ถูกเรียกเป็นพยาน ตนเองไม่มั่นใจว่าจะสามารถรับรู้เจตนารมณ์ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้อย่างไร เพราะเลขาฯ สมช. ไม่ได้อยู่ในวงเจรจาด้วย การจะไปตีความแทน จึงอาจไม่เป็นผลดีนัก และอาจส่งผลเสียต่อคุณแพทองธาร เสียด้วยซ้ำ

เมื่อถามว่าการที่ เลขาฯ สมช. มาเป็นพยานจะส่งผลบวกหรือลบ นายพิชิต ตอบว่า “ไม่ได้มีผลต่อข้อเท็จจริงมากนัก เพียงแต่ เลขาฯ สมช.เคยทำงานร่วมกับกัมพูชามาก่อน ย่อมเข้าใจพื้นเพของประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี แต่เจตนาที่แท้จริงของคุณอุ๊งอิ๊งค์ (แพทองธาร) ที่พูดคุยโดยตรงกับสมเด็จฮุน เซน และมีการเผยแพร่คลิปออกมา ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้

ข่าวที่น่าสนใจ

โดยนายพิชิต ย้ำว่า ตนเองเชื่อมั่นในกระบวนการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ และเชื่อว่าศาลจะผดุงความยุติธรรม เพราะประชาชนทั้งประเทศได้รับฟังคลิปเสียงดังกล่าวแล้ว และต่างตัดสินใจไปแล้วว่า เป็นการกระทำที่กระทบต่อศักดิ์ศรีของประเทศ ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญควรใช้โอกาสนี้พิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้แก่ประเทศชาติ เพราะเรื่องนี้มีทั้งสองประเด็น เรื่องประเด็นการเมือง กับทางคดี ซึ่งทางการเมือง กลุ่มของตนเองเรียกร้องมาก่อนหน้านี้ ว่าให้นายกรัฐมนตรีแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง ส่วนเรื่องทางคดีศาลรัฐธรรมนูญ จะไปทางใดทางหนึ่ง เราก็จะเคารพในการตัดสินใจ

 

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีจะรอดหรือไม่ นายพิชิต ระบุว่า ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจน และเชื่อว่าศาลจะใช้ดุลพินิจเพื่อปกป้องประเทศ เนื่องจากคลิปเสียงเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา และอาจเป็นชนวนเหตุสำคัญ ศาลจึงควรหยิบยกมาพิจารณา และมีแนวโน้มที่จะพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง

ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง นายพิชิตมองว่า จะยิ่งเป็นการ “เติมเชื้อไฟ” เพราะแม้ข้อเท็จจริงอาจไม่ผิดกฎหมายโดยตรง แต่ผิดต่อมโนสำนึก และความรับผิดชอบทางการเมือง ประชาชนจึงอาจจะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความรับผิดชอบครั้งใหญ่ และถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญยังคงให้นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งต่อไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการชุมนุมใหญ่ของประชาชนอีกครั้ง

ส่วนทิศทางการเมือง หากมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี นายพิชิต คาดว่า พรรคเพื่อไทย จะผลักดันนายชัยเกษม นิติสิริ ขึ้นแทน แต่ก็ไม่พ้นจากวงจรเดิมที่มีอำนาจเชื่อมโยงกับนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอาจยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน หากนายชัยเกษม ขึ้นดำรงตำแหน่งจริง นายทักษิณ ก็ยังคงมีบทบาทในการกำหนดทิศทางการเมืองอยู่ดี

เมื่อถามถึงโอกาส และกระข่าวที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งนั้น นายพิชิต บอกว่า ขณะนี้ท่านดำรงตำแหน่งองคมนตรีแล้ว อยู่ที่สภา ว่าจะพิจารณากันแบบไหน เพียงแต่ว่าหากเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีตามสภาแล้ว จะต้องมีจุดยืนเรื่อง MOU ของการตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชากันใหม่

สำหรับการทำกิจกรรมในวันนี้ เป็นการทำกิจกรรมนัดพิเศษ ยังไม่ถือว่าเป็นการชุมนุมใหญ่ แต่เพื่อต้องการที่จะสื่อสารให้กับคนที่รัฐสภา ดังนั้นกิจกรรมก็จะไม่ยืดเยื้อ จะเสร็จสิ้นภายในเวลา 17.00 น.โดยประมาณ ส่วนท่าทีการเคลื่อนไหวต่อไปของทางกลุ่ม ก็จะต้องรอดูหลังวันที่ศาลมีการตัดสินคดีของแพทองธาร ก็จะมีการกำหนดท่าทีกันอีกครั้ง

 

 

ขณะที่ลานประชาชน รัฐสภา นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับที่ 43 และ 44 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา โดยระบุว่าข้อตกลงทั้งสองฉบับนี้เป็น “MOU อัปยศ” ที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบมาโดยตลอด

นพ.ตุลย์ กล่าวว่าปกติแล้ว MOU ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่ในกรณีนี้กลับมีเพียงกัมพูชาเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลง ขณะที่ประเทศไทยกลับถูกจำกัดสิทธิและเสียดินแดนโดยไม่เป็นธรรม โดยตั้งข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่มีการเจรจา กัมพูชาละเมิดข้อตกลงมาโดยตลอด MOU ฉบับที่ 43 ว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางบกและการปักหมุดแนวเขต ส่วน MOU ฉบับที่ 44 ว่าด้วยการจัดการเขตแดนทางทะเล ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมถึงเขตแดนทางบก

 

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ นพ.ตุลย์ ชี้ให้เห็น คือการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งถูกแนบไว้ในสนธิสัญญาระหว่างไทยและฝรั่งเศสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 หรือกว่า 100 ปีที่ผ่านมา โดยชี้ว่าแผนที่ดังกล่าวมีโอกาสคลาดเคลื่อนสูง และอาจถูกจัดทำขึ้นโดยไม่มีความถูกต้องทางเทคนิค ทำให้ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในการแบ่งเขตแดนอย่างยุติธรรมได้

นพ.ตุลย์ ยังระบุว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยถือเป็นกฎหมายสูงสุด หากข้อตกลงใดขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ข้อตกลงนั้นไม่อาจมีผลบังคับใช้ได้
ปมเขตแดนที่ยังไม่ยุติ

ตามข้อมูลที่เปิดเผย ขณะนี้มีการติดตั้ง “หลักเขตแดน” ระหว่างไทย-กัมพูชา ไปแล้ว 75 หลัก จากทั้งหมด 104 หลัก โดยยังคงมีอีก 29 หลักที่ไม่สามารถตกลงร่วมกันได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชามีท่าทีไม่ประนีประนอม และยืนยันใช้แผนที่ฝ่ายเดียวในการเจรจา ซึ่งถือเป็นการละเมิดหลักการเจรจาโดยสุจริต

ทั้งนี้ การแบ่งเขตแดนมีพื้นฐานมาจากอนุสัญญาสองฉบับ ได้แก่ อนุสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) อนุสัญญา ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) โดยเส้นเขตแดนส่วนใหญ่มักยึดตาม “สันปันน้ำ” หากผ่านแนวภูเขา แต่กัมพูชากลับยืนยันยึดถือแผนที่เพียงอย่างเดียว ทำให้เกิดข้อพิพาทเรื้อรังมานาน

ต่อมา นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย และอดีตกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้ยื่นหนังสือถึง นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เพื่อขอให้เปิดเวทีอภิปรายในสภาเกี่ยวกับ MOU ฉบับที่ 43 และ 44 เพื่อให้สาธารณชนรับรู้และเกิดความโปร่งใสในกระบวนการเจรจาด้วย

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“ธิดารัตน์ รอดอนันต์” คว้ารางวัลเพชรพาณิชย์ ปี 2568
สวนสัตว์โคราชเปิดตัวสมาชิกใหม่ ลูกเสือเบงกอล และ ลูกมาร่า สุดน่ารัก
เขตสุขภาพที่ 4 จัดประชุมเชิงปฏิบัติการวิชาการ “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพที่คุ้มค่าและยั่งยืน”
"กองทัพเรือ" รับมอบปืนใหญ่สนามขนาด 155 มม. แบบอัตราจรล้อยาง (ATMG)
"โฆษกทบ." โต้ "มาลี" กล่าวหาละเมิดข้อตกลง ลั่นหลักฐานทนโท่ ไทยควรเป็นฝ่ายเรียกร้อง “กัมพูชา” มากกว่า
ชัยภูมิ น้ำป่าทะลักซัดฝายแตก ชาวบ้านขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​