AFP รายงานว่าขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งยกระดับอัตรากำแพงภาษีหลายชาติพันธมิตร ในส่วนของเจ้าหน้าที่สหรัฐก็กำลังค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมมุ่งเป้าไปที่บริษัทจีนซึ่งสหรัฐกล่าวหาว่าใช้กลยุทธ์ซิกแซกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐ ด้วยการส่งสินค้าของตนไปยังประเทศ่ที่สามเพื่อผลิตเพิ่มเติมและส่งต่อเข้าสู่ประเทศสหรัฐหรือที่เรียกว่า “สินค้าสวมสิทธิ์”
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ส่งจดหมายไปยังเวียดนามปมปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์ พร้อมเตือนว่าอาจถูกเก็บภาษีเพิ่ม นอกเหนือจากอัตราร้อยละ 20% ที่กำหนดในข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับเวียดนาม***
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ที่ศูนย์การศึกษายุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ่ชี้ว่าคำเตือนของทรัมป์ไม่ใช่เฉพาะแค่เวียดนามเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปยังประเทศอื่นๆทั่วเอเชียที่อาจจะโดนภาษีอย่างหนักหน่วง และว่ารัฐบาลสหรัฐตั้งเป้าหมายภาษีตอบโต้เอาไว้ 2 ข้อคือการปิดประตูหลังสินค้าจีนและการยื่นคำเตือนทุกประเทศในเอเชีย โดยชี้เป้าเวียดนามว่าเป็นประเทศที่รองรับสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนมากที่สุด
ขณะที่ 10 จาก 14 ประเทศแรกที่ได้รับจดหมายแจ้งอัตราภาษีจากทรัมป์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนก็เข้าข่ายมีปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์เช่นกัน ซึ่งสหรัฐได้ส่งสัญญานเตือนว่า “ต้องเลือกเอาระหว่างการช่วยสหรัฐจับสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนหรือกำแพงภาษีที่สูงขึ้น”
รอบิน บรุคส์ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันบรู้คลินชี้ว่าข้อมุลบ่งบอกชัดเจนว่าสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนในปีนี้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และว่ารายงานล่าสุดชี้ว่าสินค้าส่งออกจากจีนไปยังไทยและเวียดนามตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (2568) พุ่งขึ้นอย่างมโหฬาร โดยเฉพาะหลังจากที่ทรัมป์ขุ่จะใช้มาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าสินค้าทั้งหมดได้ถูกส่งไปที่สหรัฐที่เดียวหรือไม่ ขณะที่สินค้าจีนที่ส่งออกไปสหภาพยุโรปก็พุ่งขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นปีเช่นกัน
อย่างไรก็ตามก็ตามยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐจะใช้มาตรการลงโทษภาษีสำหรับสินค้าสวมสิทธิ์ซึ่งอาจอยู่ที่อัตรา 40% กับเวียดนามอย่างไร ซึ่งหนึ่งในความเป็นไปได้คือการทบเพิ่ม 40% กับ 20% นอกจากนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามาตรการภาษีสินค้าสวมสิทธิ์จะถูกนำมาใช้กับชาติอื่นด้วยหรือไม่ และจะใช้สูตรไหน และว่าเป้าหมายของทรัมป์คือต้องการบีบให้ประเทศเหล่านี้ทำการค้าขายแบบตรงไปตรงมาตามกติกา