โดยส่วนตัวคิดว่า หากกัมพูชา ปิดด่านจริง จะมีผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะด่านถาวรช่องสะงำ เป็นด่านที่ ประเทศกัมพูชา จะส่งสินค้าการเกษตรมาส่งขายให้ประเทศไทยเป็นหลัก ส่วนประเทศไทย จะส่งสินค้าอุปโภคบริโภคไปขายในประเทศกัมพูชา ทำให้ฝั่งไทยได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้เชิงเศรษฐกิจเพียงมิติเดียว แต่ฝั่งกัมพูชา จะได้รับผลกระทบหลายด้าน ทั้งขาดรายได้จากการค้าขาย และการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าจากฝั่งไทย ส่งผลให้ กัมพูชา ได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศไทยอย่างแน่นอน จากนั้น กัมพูชา จะขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นจนส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมของกัมพูชา เอง

ส่วนประเด็นที่ทางการไทยประกาศงดนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศกัมพูชา นั้น หลังปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดด่านช่องสะงำ ไม่พบเห็นชาวกัมพูชา นำสำปะหลังเข้ามาขายในประเทศไทยแต่อย่างใด ทั้งนี้ด่านถาวรช่องสะงำ ยังคงเปิด-ปิดด่านเวลาเดิม คือ เปิดด่านในเวลา 08.00 น. และจะปิดด่านในเวลา 15.00 น. โดยจะเปิดด่านแค่วันจันทร์, วันพุธ และวันศุกร์ ส่วนคนที่จะผ่านเข้า-ออก ต้องใช้ Passport หรือ Border Pas เท่านั้น

ต่อมา ผู้ว่าราชการ จ.ศรีสะเกษ ออกหนังสือแจ้งถึงหัวหน้าส่วนราชการ และภาคส่วนต่าง ๆ โดยมีใจความว่า เนื่องด้วย จ.ศรีสะเกษ ได้รับแจ้งจากหน่วยประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ได้มีหนังสือแจ้งถึง จ.บุรีรัมย์ และ จ.ศรีสะเกษ ว่า ตามที่กองทัพภาคที่ 2 มีคำสั่งปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ ฝ่ายกัมพูชา จึงตัดสินใจปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องจับโกกี บ้านจับโกกีลิจ ตำบลอำปีล อ.บันเตียอำเตียอำปิล จ.อุดรมีชัย และจุดผ่านแดนถาวรช่องจวม ต.ตรอเปรียงไปร อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย อยู่ตรงข้ามจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง