วิบากกรรม “ตระกูลชินวัตร” จบไม่สวยกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่รอดสักครั้ง “ทักษิณ -ยิ่งลักษณ์” ยุบสภาก่อนถูกรัฐปะหารต้องรอนแรมอยู่นอกประเทศ จับตา “อุ๊งอิ๊ง” จบสวยหรือไม่
ข่าวที่น่าสนใจ
เป็นวิบากกรรมทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรีตระกูลชินวัตรอีกครั้งหลังปรากฎคลิปฉาวการพูดคุยระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นากรัฐมนตรีไทย กับนายฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งหลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปทำให้ภาคประชาชนทุก รวมถึงพรรคการเมืองหลายพรรคออกมากดดันให้นายกฯแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือ ยุบสภา และเชื่อว่าในสถานการณ์การเมืองที่ตรึงเครียดอยู่ในขณะนี้นายกรัฐมนตรีเหลือทางเลือกไม่มากนัก คือ การลาออก หรือ ยุบสภาเท่านั้น หรืออีกทางหนึ่งนายกฯอาจเลือกที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป แต่สมการนี้ต้องไปดูท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะอยู่ร่วมหัวจมท้ายด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ในอดีตที่ผ่านมาคนในสายเลือดตระกูล “ชินวัตร” ผ่านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 3 คน ประกอบด้วย 1. นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ดำรงตำแหน่งในช่วงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2544 – 8 มีนาคม 2548 และดำรงตำแหน่งในสมัยที่สองในช่วงวันที่ 9 มีนาคม 2548 – 19 กันยายน 2549 , 2.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ดำรงตำแหน่งในช่วงวันที่ 8 สิงหาคม 2554 – 7 พฤษภาคม 2557 และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ดำรงตำแหน่งในวันที่ 18 สิงหาคม 2568จนถึงปัจจุบัน แต่ที่ผ่านมาตระกูลชินวัตรแต่ละคนล้วนจบไม่สวยในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เริ่มที่นายทักษิณ จากวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548–2549 นายทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สอง โดยระหว่างนั้นมีประชาชนจำนวนมากออกมาประท้วงขับไล่นายทักษิณ จากข้อกล่าวหาการบริหารประเทศของรัฐบาลที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งการประท้วงได้ขยายตัวเป็นวงกว้างยิ่งขึ้นเมื่อถึงปลายปี พ.ศ. 2548 จากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้นำ และขยายตัวในวงกว้างไปยังบุคคลในหลายสาขาอาชีพในเวลาต่อมา
ขณะเดียวกันยังมีมวลชนที่สนับสนุนนายทักษิณ เช่นกัน โดยประกอบด้วยประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงสมัชชาคนจนรวมตัวชุมนุมสนับสนุนนายทักษิณให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยปักหลักอยู่ที่สวนจตุจักร และตามจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย แต่ต่อมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 นายทักษิณประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 แต่พรรคฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชน และพรรคชาติไทย ไม่ได้ร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ผลปรากฏว่า พรรคไทยรักไทยยังคงได้รับคะแนนเสียงอย่างกว้างขวาง แต่ในบางพื้นที่ของเขตซึ่งไม่มีผู้สมัครอื่นลงแข่งนั้น
แต่ในท้ายที่สุดการเลือกตั้งครั้ง นี้ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะ และมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 แต่การประท้วงขับไล่นายทักษิณสิ้นสุดลงในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังจากการกองทัพก่อรัฐประหาร โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดยพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ขณะนายทักษิณเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก โดยหลังจากนั้นนายทักษิณต้องรอนแรมอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน กระทั่งวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 นายทักษิณเดินทางกลับประเทศไทยเป็นคร้ังแรก และเกิดภาพก้มกราบแผ่นดินขณะเดินทางออกมาจากห้องรับรองวีไอพีของสนามบินสุวรรณภูมิ
ต่อมาในปี 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างจากนายทักษิณ เริ่มจากการชุมนุมกดดันอย่างหนักจากกลุ่ม กปปส. ที่คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับเหมาเข่ง หรือสุดซอย แต่ปลายปี 2556 โดยในเวลานั้น สส. พรรคประชาธิปัตย์ ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อร่วมชุมนุมกับม็อบโค่นล้มระบอบทักษิณที่นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ซึ่งการชุมนุมยืดเยื้อเป็นเวลาหลายเดือน กระทั่งวันที่ 9 ธันวาคม 2556 น.ส. ยิ่งลักษณ์ตัดสินใจยุบสภา เพื่อหาทางออกทางการเมืองสู่การเลือกตั้ง โดยกำหนดวันเลือกตั้งใหม่คือวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่การเลือกตั้งดังกล่าวถูกขัดขวางจากกลุ่ม กปปส. เป็นเหตุให้ไม่สามารถลงคะแนนได้ทุกหน่วยเลือกตั้งพร้อมกันทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตามต่อมาเกิดการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นเป็นผู้นำรัฐประหาร ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อมาได้หลบหนีออกต่างประเทศ เนื่องจากหลบหนีการพิจารณาคดีจำนำข้าว ซึ่งตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังรอนแรมอยู่ต่างประเทศเป็นเวลากว่า 8 ปี และนี่คือวิบากกรรมของตระกูลชินวัตรที่มักจะจบไม่สวยกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง