CNN และ AP รายงานว่าเมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 7 มิย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในบันทึกประธานาธิบดีโดยมีคำสั่งให้กองกำลังป้องกันแห่งชาติจำนวน 2 พันนายเข้าควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย หลังจากผู้ลี้ภัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวละตินอเมริกาออกมาชุมนุมประท้วงจนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ป้องกันพรมแดนสหรัฐเป็นวันที่สอง
เหตุจลาจลเกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์สั่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าหน้าที่ศุลกากรบุกตรวจค้นและไล่ล่าหาผู้ลี้ภัยผิดกฎหมายตามสถานที่ต่างๆทั่วแอลเอเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 มิย.) และมีการจับกุมผู้ลี้ภัยไป 118 คน ทำให้กลุ่มผู้ลี้ภัยพากันโกรธแค้นและไปชุมนุมประท้วงที่ศูนย์กักกันผุ้ลี้ภัยพร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุม ก่อนสถานการณ์จะลุกลามบานปลายจนกลายเป็นเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ หลังผู้ประท้วงได้พยายามสกัดรถของเจ้าหน้าที่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็ใช้แก๊สน้ำตายิงใส่กลุ่มผู้ประท้วง
สถานการณ์ส่อเค้าลุกลามและรุนแรงหลังจากพีท เฮกเซ็ธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐออกมาขู่จะส่งทหารจากแคมป์เพนเดิลตันเข้ามาจัดการและควบคุมความสงบหากสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่แคโรไลน์ ลีฟวิต โฆษกทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ว่าการเข้ากวาดล้างผู้ลี้ภัยผิดกฎหมายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรุกล้ำเข้าสู่สหรัฐ
อย่างไรก็ตามเกวิน นิวซัม ผุ้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียออกมาคัดค้านทันที บอกว่าการที่ผุ้นำสหรัฐส่งกองกำลังป้องกันแห่งชาติเข้ามาปราบปรามจะยิ่งเป็นการยกระดับความรุนแรงและความขัดแย้งและยิ่งการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน
ขณะที่ทรัมป์ก็โพสต์ผ่าน “ทรู๊ธ” ว่าหากผู้ว่านิวซัมและนายกเทศมนตรีแคเรน แบสของแอลเอไม่ยอมออกมาปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง รัฐบาลกลางก็จะเข้ามาจัดการแก้ปัญหาเอง