รอยเตอร์สและยูโรนิวส์รายงานว่ามาครงได้แถลงข่าวในวันนี้ (จันทร์ที่ 26 พค.) หลังพบหารือกับประธานาธิบดีเลือง เกื่อง และนายโต เลิมเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โดยเผยว่าฝรั่งเศสและเวียดนามได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือหลายด้าน รวมทั้งสัญญาซื้อขายเครื่องบินแอร์บัส รุ่น A330 จำนวน 20 ลำสำหรับสายการบินเวียตเจ็ต
นอกจากนี้ก็ยังมีความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์, รางรถไฟ, วัคซีนซาโนฟี และดาวเทียมสังเกตการณ์ของแอร์บัส ซึ่งฝรั่งเศสได้พยายามโน้มน้าวเวียดนามให้สั่งซื้อเพื่อติดตั้งแทนดาวเทียมดวงเก่ามาพักใหญ่
มาครงกล่าวย้ำระหว่างแถลงข่าวว่าฝรั่งเศสจะสนับสนุนเวียดนามเรื่องเสรีภาพการเดินเรือ ซึ่งเป็นปมขัดแย้งระหว่างเวียดนามกับจีนเหนือทะเลจีนใต้มาอย่างยาวนาน และว่าฝรั่งเศสกับเวียดนามได้ยกระดับความร่วมมือด้านกลาโหมและอวกาศระหว่างกันหลายฉบับ รวมทั้งการแบ่งปันข้อมูลด้านยุทธศาสตร์, อุตสาหกรรมการผลิตอาวุธ, ความมั่นคงทางไซเบอร์และความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย
ปีที่แล้ว เวียตเจ็ตสั่งซื้อแอร์บัสไป 20 ลำ รวมกับวันนี้ก็เป็น 40 ลำ ซึ่งการเซ็นสัญญารอบนี้มีขึ้นหลังจากอียูระแวงว่าเวียดนามซึ่งเป็นลูกค้าประจำของแอร์บัสจะเปลี่ยนใจหันไปซื้อโบอิ้งตามแรงกดดันของสหรัฐที่สั่งรีดภาษีเวียดนาม 46% เพื่อบีบให้เวียดนามซื้อสินค้าสหรัฐมากขึ้น และเพื่อเอาใจทรัมป์ เวียดนามกล่าวว่ากำลังพิจารณาว่าอาจจะซื้อโบอิ้งอย่างน้อย 250 ลำสำหรับเวียดนามแอร์ไลน์สและเวียตเจ็ท ทำให้อียูออกมาเตือนเวียดนามว่าอย่าให้การเจรจากับสหรัฐกระทบผลประโยชน์ของอียู เพราะอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้าอียู-เวียดนาม ซึ่งอียูถือเป็นผู้ซื้อสินค้าเวียดนามรายใหญ่เช่นกัน
มาครงเป็นผู้นำฝรั่งเศสคนแรกที่เดินทางเยือนเวียดนามในรอบเกือบสิบปี หลังจากเวียดนามเคยอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศสมานานราว 70 ปี หลังจากเวียดนาม มาครงจะไปเยือนอินโดนีเซียและสิงคโปร์ต่อ