CNN และ BBC รายงานว่าสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐและนายเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ออกมาเปิดเผยถึงผลการเจรจาว่าด้วยการแก้ปัญหาภาษีระหว่างสหรัฐกับจีนซึ่งมีการพูดคุยแบบมาราธอนเป็นเวลา 2 วันเมื่อเสาร์และอาทิตย์ (10-11 พค.) ผ่านมาที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยทั้งสองฝ่ายได้่ตกลงเห็นชอบในวันนี้ (จันทร์ที่ 12 พค.) ให้ลดอัตราภาษีศุลกากรลง 115% เท่ากัน โดยสหรัฐจะลดการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนลงเหลือ 30% จากเดิมที่สั่งเก็บ 145% ส่วนจีนจะลดภาษีสินค้าจากสหรัฐลงเหลือ 10% จากเดิม 125% มีผลบังคับใช้ในวันพุธที่ 14 พฤษภาคมนี้ อย่างไรก็ตามข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้เบื้องต้นเป็นเวลา 90 วัน
นอกจากนี้จีนและสหรัฐก็ยังตกลงที่จะจัดตั้งกลไกเพื่อที่จะสานต่อการพูดคุยหารือระหว่างกันในเรื่องการค้าและเศรษฐกิจ โดยนายเหอ รองนายกรัฐมนตรีจีนจะเป็นผู้นำการหารือของฝ่ายจีน ขณะที่เบสเซนต์และเจมีสัน กรีเออร์จะเป็นผู้นำการหารือของฝั่งสหรัฐ
สำหรับการหารือจะจัดขึ้นที่จีนและสหรัฐในลักษณะสลับกันไปมา หรืออาจจัดขึ้นในประเทศที่สาม แล้วแต่จะมีการตกลงกัน นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังสามารถขอให้มีการพูดคุยกันในระดับเจ้าหน้าที่ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ข้อตกลงทั้งหมดมีการระบุไว้ในแถลงการณ์ร่วม และเป็นการปรับลดภาษีที่ต่ำเกินความคาดหมาย แต่สร้างความแปลกใจไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าอัตรากำแพงภาษีสินค้าจีนที่สหรัฐคงไว้ 30% ก็ยังสูงเกินไป แต่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
คำประกาศดังกล่าวถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดเงินทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นเอเชียพุ่งพรวดเขียวทั้งกระดาน โดยหุ้นฮั่งเส็งพุ่งขึ้นกว่า 3% ขณะที่หุ้นญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้, ไต้หวันและนิวซีแลนด์ก็ปรับบวกกันถ้วนหน้า
ขณะที่ตลาดหุ้นฝั่งยุโรป ทั้งอังกฤษ, ฝรั่งเศสและเยอรมนี รวมทั้งหุ้นซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐก็ปรับขึ้นมากกว่า 1%
ด้านราคาน้ำมันก็พุ่งพรวดมากกว่า 3% เช่นกัน ส่วนค่าเงินดอลล่าร์ก็ปรับตัวแข็งค่าขึ้น 1% เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรและเงินเยน