เมื่อวันที่ 27 เม.ย.64 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา เป็นโจทก์ฟ้อง นายกฤษณะ อาษาสู้, นายเทอดศักดิ์ เถียรพุดซา, นางประพันธ์ พิพัธนัมพร, น.ส.วรรณภา คำพิพจน์ และ น.ส.จินดา อัจฉริยะศิลป์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ และอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 209
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. – 12 ก.ย. 2561 จำเลยทั้งห้ากับพวก ประกอบด้วย นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ, นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์, นายสยาม ธีรวุฒิ, นายวัฒน์ วรรลยางกูร และนายกฤษณะ ทัพไทย ซึ่งหลบหนี ได้ร่วมกันเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ ในคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีการ ชื่อกลุ่มสหพันธรัฐไท มีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่ระบอบการปกครองในระบอบสหพันธรัฐ ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
อันเป็นการร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ โดยได้เคลื่อนไหวปลุกระดมสมาชิกกลุ่มและประชาชนทั่วไปผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ เฟซบุ๊ก กลุ่มไลน์ ยูทูบ และการแจกเอกสารแผ่นปลิว ชักชวนให้สมาชิกกลุ่มและประชาชนทั่วไปต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและ คสช. ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
ทั้งนี้จำเลยที่ 1-4 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 5 หลบหนี ศาลออกหมายจับไว้ และจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว โดยศาลอาญาพิพากษา เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2563 ว่า จำเลยที่ 1-4 กระทำผิดฐานเป็นอั้งยี่ มาตรา 209 จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 2-3 รับสารภาพในชั้นสอบสวน และให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 2-3 คนละ 2 ปี ทั้งหมด โดยไม่รอลงอาญา และให้ยกฟ้องฐานยุยงปลุกปั่นฯ มาตรา 116 ขณะที่อัยการโจทก์ และพวกจำเลย ยื่นอุทธรณ์
โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว กรณีจำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตาม ป.อาญา ม.116 หรือไม่ พยานโจทก์มีหลักฐานบ่งชี้สนับสนุนให้เชื่อว่าจำเลยที่ 1-4 เกี่ยวข้องกับกลุ่มสหพันธรัฐไทจริง แต่เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมประกอบข้อความในแผ่นใบปลิวและสติกเกอร์ ไม่มีลักษณะเป็นการยุยงปลุกปั่นฯ ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องความผิดฐานนี้มานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยจำเลยที่ 1-4 กระทำผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือไม่ การที่จำเลยที่ 1-4 ตัดสินใจเข้าร่วมอุดมการณ์ด้วยการช่วยเหลือให้การสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของกลุ่มสหพันธรัฐไท โดยนำใบปลิว สติกเกอร์ และเสื้อที่มีสัญลักษณ์ของกลุ่มไปเผยแพร่แจกจ่าย ตลอดจนใช้สื่อสังคมออนไลน์ชี้นำชักชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาเป็นสมาชิก ย่อมบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1-4 มีเจตนาเข้าร่วมหรือมีส่วนร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มสหพันธรัฐไท เมื่อกลุ่มสหพันธรัฐไทมีวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง นับเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงมีความผิดเป็นอั้งยี่
ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 อุทธรณ์ว่า การเป็นสมาชิกหมายถึงการร่วมจัดตั้งองค์กร มีตำแหน่งหน้าที่ มีการประชุมปรึกษาหารือกันระหว่างสมาชิก จำเลยจึงไม่มีความผิดนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 คำว่าสมาชิกหมายความว่า ผู้มีสิทธิและมีส่วนร่วมในสมาคม องค์การ หรือกิจกรรมใดๆ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1-4 ร่วมกระทำกิจกรรมกับกลุ่มสหพันธรัฐไท ถือได้ว่าจำเลยที่ 1-4 แสดงเจตนาเข้ามีส่วนร่วมเป็นสมาชิกแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1-4 กระทำผิดฐานเป็นอั้งยี่นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนจำคุกจำเลยที่ 1, 4 คนละ 3 ปี จำเลยที่ 2-3 คนละ 2 ปี