ประธานาธิบดีไซริล รามาโฟซา แห่งแอฟริกาใต้ ได้ออกมาแถลงถึงสถานการณ์ตอนนี้ว่า โดยส่วนใหญ่ในแอฟริกาใต้ ได้ผ่านจุดสูงสุดของการระบาดระลอกที่สามแล้ว และสามารถเตรียมผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ จากการล็อคดาวน์ได้ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยเฉลี่ยต่อวันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 12,000 คน ซึ่งลดลง 20 เปอร์เซ็นต์จากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่ชี้ว่าแอฟริกาใต้ได้ผ่านพ้นการระบาดแล้ว อย่างไรก็ดี ยังมีบางพื้นที่ที่ยังต้องเฝ้าระวังอยู่
รามาโพซา ได้ประกาศผ่อนปรนข้อจำกัดในการชุมนุม การเดินทางภายในประเทศ และการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีผลใช้ได้ในทันที ในส่วนข้อบังคับอื่นๆ จะยังมีกำหนดใช้ต่อไป เช่น การเคอร์ฟิวในช่วงกลางคืน และการสวมใส่หน้ากากอนามัย ในส่วนของการศึกษา โรงเรียนที่ปิดในช่วงวันหยุดฤดูหนาวจะได้รับอนุญาตให้เปิดอีกครั้งตามกำหนดได้
แอฟริกาใต้เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนารุนแรงที่สุดในแถบแอฟริกา โดยสายพันธุ์หลักที่เป็นตัวแปรทำให้เกิดการระบาดเป็นจำนวนมากคือสายพันธุ์เดลต้า แอฟริกาใต้ต้องมีการล็อกดาวน์พื้นที่บางส่วนเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อควบคุมการติดเชื้อ จนถึงปัจจุบัน แอฟริกาใต้มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 มากกว่า 2.3 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 69,775 คน
ด้านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ก็เป็นไปอย่างล่าช้า เพราะได้รับผลกระทบหลายเรื่อง เช่นการเลิกใช้วัคซีนแอสตราเซเนกา หลังมีการศึกษาที่บ่งชี้ว่าวัคซีนชนิดนี้ มีประสิทธิภาพน้อยในการป้องกันสายพันธุ์เบต้า ซึ่งเป็นสายพันธุ์ท้องถิ่น ขณะนี้ มีประชากรแอฟริกาใต้เพียง 2.3 ล้านคนเท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วน นับตั้งแต่เริ่มฉีดในเดือนกุมภาพันธ์ ภาครัฐตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2022 ต้องฉีดให้ได้ 40 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 67 ของประชากรทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีรามาโฟซา ได้กล่าวว่าโครงการฉีดวัคซีน ก้าวหน้าอย่างมาก โดยมีการฉีดได้มากกว่า 240,000 ครั้งต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 100,000 ครั้งในเดือนที่แล้ว และจะพยายามเพิ่มความสามารถในการฉีดมากกว่านี้ รวมถึงให้ผู้ที่มีอายุระหว่าง 18- 34 ปี ได้รับการฉีดให้ได้ภายในช่วงเดือนกันยายน
