ดร. เจิ้ง อี้ซิน รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า องค์การอนามัยโลก ได้เสนอที่จะเข้าทำการศึกษารอบที่สองเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัสโคโรนา ในประเทศจีน รวมถึงการตรวจสอบห้องปฏิบัติการและตลาดในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งข้อเสนอขององค์การอนามัยโลก เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะองค์การอนามัยโลกมีสมมติฐานที่ว่าเชื้อไวรัสรั่วไหลออกมาจากห้องปฏิบัติการในอู่ฮั่น เจิ้งมองว่าองค์การอนามัยโลกไม่เคารพต่อสามัญสำนึกและกระทำการที่ขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์
หัวหน้าองค์การอนามัยโลกได้กล่าวเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมว่า การสอบสวนต้นกำเนิดของการระบาดใหญ่ของโควิด 19 ในประเทศจีนถูกขัดขวางโดยการขาดข้อมูลในช่วงแรกที่ไวรัสแพร่กระจาย ซึ่งเรื่องนี้ เจิ้งก็ได้ย้ำจุดยืนของจีนชัดเจนว่าไม่สามารถแชร์ข้อมูลบางส่วนได้เต็มที่ เนื่องจากกังวลถึงเรื่องความเป็นส่วนตัว และหวังว่าองค์การอนามัยโลกจะทบทวนข้อควรพิจารณาและข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญชาวจีนอย่างจริงจัง และปฏิบัติต่อการติดตามต้นกำเนิดของไวรัสโคโรนา อย่างแท้จริงที่ว่า มันเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ และไม่ได้มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง
เจิ้ง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และผู้เชี่ยวชาญชาวจีน เรียกร้องให้องค์การอนามัยโลก ขยายความพยายามในการสืบค้นแหล่งที่มาที่อาจจะมาจากประเทศอื่น นอกเหนือจากจีน ด้านศาสตราจารย์เหลียง ว่านเหนียน หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมขององค์การอนามัยโลกมองว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่เกิดจากการรั่วไหลของทางห้องแลป ดังนั้นจึงควรมีการศึกษาในสัตว์เพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีค้างคาวอาศัยอยู่
ต้นกำเนิดของไวรัสยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ โดยเป็นที่ทราบมาก่อนว่าเกิดขึ้นในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของจีนในเดือนธันวาคม 2562 เชื่อกันว่าไวรัสเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ด้วยการแพร่กระจายไวรัสจากสัตว์ที่ถูกขายเป็นอาหารในตลาดของเมืองอู่ฮั่น