สำหรับประเด็นการปรับแผนการฉีดวัคซีน ได้รับการเปิดเผยจาก นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า เวลานี้อัตราผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นอย่างน่ากลัว ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ประมาณ 3 พันกว่าราย ในจำนวนนี้มีผู้สูงอายุ เสียชีวิตคิดเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด รองลงมาคือคนที่มีโรคประจำตัว และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยังควบคุมไม่ได้อยู่ในเวลานี้ การฉีดวัคซีนจากเดิมที่เน้นฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ได้มีการปรับเปลี่ยนมาฉีดเพื่อรักษาชีวิตไว้ก่อน ซึ่งผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน 100 กิโลกรัม ที่เข้าข่ายโรคอ้วน และผู้มีโรคประจำตัวอยู่ใน 7 กลุ่มโรคเสี่ยง รวมไปถึงสตรีมีครรภ์ จะเป็นเป้าหมายแรก ที่ต้องฉีดให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาชีวิตคนกลุ่มนี้ไว้
รองอธิบดีกรมการแพทย์ยังบอกอีกว่า ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้ระบบ “608” คือฉีดวัคซีนผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และฉีดวัคซีนให้กับผู้มีโรคประจำตัว บวกกับสตรีมีครรภ์ รวมเป็น 8 นั่นคือที่มาของ รหัส 608
สำหรับตัวเลขการฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หากวัดจากฐานข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์ มีผู้สูงอายุประมาณ 1 ล้าน 3 แสนคน ปัจจุบันฉีดไปได้ประมาณ 600,000 กว่าคน ดังนั้น การเปิดระบบให้ walk in เข้ามาฉีด เน้น 3 กลุ่มเสี่ยง นายแพทย์ไพโรจน์เชื่อว่าจะสามารถดึงกลุ่มคนเหล่านี้ที่ยังไม่ได้ฉีด ให้ออกมาฉีดได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนผู้สูงอายุที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ
ขณะเดียวกัน กรมการแพทย์ยังได้เตรียมทำ application สำหรับผู้มีโรคประจำตัว 7 โรคเสี่ยง และสตรีมีครรภ์ ขึ้นมา เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ที่ให้กลุ่มเสี่ยงกลุ่มนี้ ได้รับบริการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะ ไม่ต้องไปรวมกับกลุ่มผู้สูงอายุและประชาชนทั่วไป คาดว่าน่าจะเปิดใช้งานได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้