นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ และไอซีทีฯ กล่าวถึงกรณีที่คณะอนุกมธ.ครุภัณฑ์ฯ พิจารณางบประมาณเพื่อจัดซื้อวัคซีนกว่า 6,000 ล้านบาทของกรมควบคุมโรคเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า งบประมาณในการจัดซื้อวัคซีนส่วนนี้จะอยู่ในพ.ร.ก.เงินกู้ ซึ่งตนก็เป็นประธานอนุกมธ.พิจารณาติดตาม ตรวจสอบ การใช้เงินตามพ.ร.ก.ด้วย ซึ่งกรมควบคุมโรคไม่ได้มีประเด็นเรื่องงบประมาณ และคณะอนุกมธ.ครุภัณฑ์ฯ ไม่ได้ตัดแม้แต่บาทเดียว เพราะเข้าใจว่ากรมควบคุมโรคกลายเป็นจำเลยของสังคมที่ทุกคนล้วนโจมตี และเมื่อวานมีความคลาดเคลื่อนเป็นประเด็นใหญ่โตในคณะอนุกมธ.ครุภัณฑ์ฯ จากการที่มีอนุกมธ.บางคนเรียกร้องขอดูเรื่องรายละเอียดสัญญาการจัดซื้อวัคซีน ทั้งที่ผ่านมาทางกรมควบคุมโรคได้ส่งรายละเอียดทั้งหมดให้กมธ.ชุดใหญ่เรียบร้อยแล้ว โดยมีสัญญาที่ลงนามไว้โดยบริษัทแอสตราเซเนกา ว่าถ้าเปิดเผยสัญญาแม้แต่บางส่วนหรือทั้งหมด จะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากบริษัทแอสตราเซเนกา ส่วนที่มีการคาดดำในเอกสาร ตนได้พิจารณาแล้ว คือสูตรทางเคมีที่เป็นความลับด้านการค้าที่ทางบริษัทจำเป็นต้องปกปิดถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งก็เป็นเอกสารฉบับเดียวกันกับที่พรรคการเมืองหนึ่งนำมาเปิดเผยก่อนหน้านี้
เมื่อถามย้ำว่า สรุปแล้วงบประมาณกว่า 6,000 ล้านบาท ตามมติครม. ที่ให้จัดหาวัคซีนนั้น ท้ายสุดแล้วจะได้วัคซีนชนิดไหนมา นายสรวุฒิ กล่าวว่า ในส่วนนี้เป็นไปตามพ.ร.ก.เงินกู้ ที่มีการประชุมกันของคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ โดยสภาพัฒน์ฯ และมีการให้ความเห็นว่า จำนวนวัคซีนที่นำมาป้องกันโรคระบาดอย่างฉุกเฉิน จำนวน 10.9 ล้านโดส ก็ให้อำนาจกรมควบคุมโรคไปจัดหาวัคซีนโดยด่วนอย่างเร็วที่สุด ซึ่งตรงนั้นจะใช้งบประมาณ 5 – 6 พันล้านบาท และสภาพัฒน์ฯ ได้มีมติเพิ่มเติมเป็นข้อสังเกตว่า ขอให้จัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการกลายพันธุ์ แต่ไม่ได้ระบุว่า เป็นวัคซีนประเภทใด เพียงแต่ให้หาควบคู่ให้ครบจำนวน 10.9 ล้านโดส ที่จะให้คนไทยทั้งประเทศได้ฉีด จึงมีความคลาดเคลื่อนพอสมควรว่าตอนนี้คนด้อยค่าวัคซีนถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบันเราป้องกันโรคระบาดในช่วงแรก ระยะ 1 และ 2 ที่มาจากสายพันธุ์อู่ฮั่น ต่อมาได้พัฒนาเป็นสายพันธุ์อังกฤษที่เรียกว่าเบต้า สายพันธุ์อินเดียคือเดลต้า และต่อไปก็จะเป็นแลมบ์ดาที่เป็นสายพันธุ์เปรูกับชิลี และเชื้อก็จะกลายพันธุ์ต่อไปเรื่อย ๆ โดยเทคโนโลยีต้องเปลี่ยนแปลงหนีการกลายพันธุ์ของไวรัสด้วย ซึ่งทั่วโลกก็เป็นกันหมด เช่นประเทศอังกฤษที่มีขนาดประเทศเท่ากับเรา แต่จำนวนประชากรน้อยกว่าเราได้รับการฉีดวัคซีน mRNA ที่เป็นไฟเซอร์และโมเดอร์น่าเกือบทั้งประเทศ แต่วันนี้มีผู้ติดเชื้อประมาณ 40,000-50,000 คน เท่ากับประเทศไทย และประเทศรอบข้างทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนามก็ล็อคดาวน์โดยไม่มีกำหนด ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลด้วย สถานการณ์ตอนนี้คนไทยต้องร่วมมือกัน ไม่ควรมีคนให้ความเห็นผิด ๆ เรื่องวัคซีนและมาโจมตีการทำงานของรัฐบาล
“โดยรวมทางรัฐบาลและกรมควบคุมโรคเห็นแล้วว่าทุกอย่างคืออะไร ดังนั้นการจัดหาวัคซีนในวันสองวันนี้ได้เซ็นต์ซื้อไฟเซอร์ 20 ล้านโดส โดยจะได้มาในไตรมาส 4 หรือไตรมาส 1 ของปีหน้า แม้ว่าเราอยากจะซื้อสิ่งต่างๆมากเท่าไหร่ แต่ในช่วงฉุกเฉินเราจำเป็นต้องมีวัคซีน ต้องยอมรับว่าวัคซีนไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ เพราะทุกคนฉีดแล้วสามารถติดได้ แม้กระทั่งเป็นวัคซีน mRNA แต่เมื่อฉีดวัคซีนแล้วระยะหนึ่งร่างกายของคนทั่วไปก็จะสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และจากนี้ทางรัฐบาลจะจัดหาวัคซีนที่ป้องกันการกลายพันธุ์เข้ามา เพราะเช่นไฟเซอร์หรือโมเดอร์น่าที่ฉีดให้กับประชาชนในประเทศต่างๆ ตอนนี้ก็ป้องกันไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งต้องมีการวิจัยและตัดต่อพันธุกรรมต่อไป เพื่อให้รองรับในส่วนนี้ ผมจึงคิดว่าช่วงนี้จะใช้วัคซีนอะไรก็ได้ และประเทศจีนที่เป็นประเทศต้นเหตุของการระบาดครั้งนี้เขาก็ใช้วัคซีนซิโนแวคและซิโนฟาร์มเป็นวัคซีนหลัก โดยสามารถป้องกันประเทศเขาได้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยเองก็ใช้กลไกวัคซีนแบบนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในระลอก 1 ระลอก 2 และระลอก 3 ได้ แต่เมื่อมาถึงระลอก 4 เกิดการกลายพันธุ์ หากพิจารณาแล้วกราฟทุกประเทศก็ขึ้นหมดไม่แตกต่างจากบ้านเรา ทุกประเทศกำลังแย่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้คือทำอย่างไรให้ได้วัคซีนเร็วที่สุด และมีการกระจายอย่างเป็นธรรม” นายสรวุฒิ กล่าว
/////