กลุ่มนักวิจัยที่นำโดย ดร.นิเวดิตา คุปตา แห่งสภาวิจัยการแพทย์แห่งอินเดียระบุว่า มีชาวอินเดียประมาณ 0.4 เปอร์เซ็นต์เสียชีวิตจากการติดเชื้อระยะลุกลาม ในขณะที่อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมีแค่เกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อจากสายพันธุ์เดลต้า
ผลการวิจัยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของการฉีดวัคซีนในการป้องกันการเกิดผลลัพธ์ที่รุนแรงในผู้ติดเชื้อ และบรรเทาข้อสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสายพันธุ์เดลต้า สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการฉีดวัคซีนช่วยลดความรุนแรงของโรค การรักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชากรอย่างรวดเร็วจึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในการป้องกันการระบาดและจะช่วยลดภาระให้กับระบบสาธารณสุข ทั้งนี้วัคซีนที่อินเดียใช้ในการฉีดนั้นเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในอินเดีย
อินเดียพบผู้ติดเชื้อรายวันทะลุ 400,000 คนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ตลอดช่วงเวลานั้น อินเดียเผชิญกับการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า จนเกิดวิกฤตหนักทั้งเรื่องการขาดแคลนการรักษาที่ดี เพราะเตียงในโรงพยาบาลและถังออกซิเจนไม่เพียงพอ อินเดียพบกับการเสียชีวิตมากมายและศพเหล่านั้นถูกทิ้งลงแม่น้ำคงคา
การศึกษายังมีการกำหนดนโยบายที่มุ่งเป้าไปที่การหลีกเลี่ยงการระบาดระลอกใหม่ โดยเน้นถึงความจำเป็นในการจัดลำดับจีโนมอย่างต่อเนื่องตลอดจนการติดตามการติดเชื้อ เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจถึงความจำเป็นในการปรับแต่งวัคซีนที่มีอยู่ และพัฒนาวัคซีนใหม่ที่มีศักยภาพในการป้องกันเชื้อโควิดที่หลากหลายได้