นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐสภา เปิดเผยแนวทางการพิจารณาแก้ไขระบบการเลือกตั้งของกรรมาธิการฯ หลังต้องงดการประชุม 2 สัปดาห์ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่า จะประชุมอีกครั้งในวันที่ 27 กรกฎาคม และ 30 กรกฎาคมนี้ ซึ่งการงดการประชุมจะไม่กระทบกรอบการพิจารณาของกรรมาธิการ เพราะกรรมาธิการฯ จะพิจารณาปรับแก้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 สิงหาคม และจะเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาวาระ 2 ปลายเดือนสิงหาคม เมื่อพิจารณาวาระ 2 เสร็จแล้ว จะต้องเว้นการพิจารณาไว้ 15 วัน ก่อนลงมติในวาระที่ 3 ช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ ซึ่งยังคงอยู่ในสมัยประชุม
เมื่อถามว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ภายหลังการลงมติในวาระที่ 3 เสร็จสิ้นจะเป็นขั้นตอนที่นายกรัฐมนตรีต้องนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งระหว่างนั้นส.ส.และส.ว.ยังสามารถเข้าชื่อกัน เพื่อขอส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยได้ แต่เท่าที่พิจารณาขณะนี้ยังไม่มีประเด็นที่เข้าองค์ประกอบที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับอำนาจองค์กรอิสระ การดำรงตำแหน่งต่าง ๆ แต่การแก้ไขระบบการเลือกตั้ง ไม่ได้อยู่ในองค์ประกอบมาตรา 256 วงเล็บ 8 จึงไม่สามารถส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ มั่นใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะดำเนินการตามขั้นตอน ส่วนพรรคการเมืองใดจะมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เกินหลักการ เป็นเรื่องของพรรคการเมืองนั้น
นายไพบูลย์ กล่าวว่า การลงมติร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมครั้งนี้ จะผ่านการพิจารณาแบบฉลุย เพราะมีพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากอย่างน้อย 3 พรรคการเมือง ทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนการแก้ไขระบบการเลือกตั้ง ซึ่งมีเสียงรวมกันแล้วประมาณ 300 เสียง ส่วนเสียงของวุฒิสภาที่ต้องมีมากกว่า 1 ใน 3 หรือมากกว่า 83 เสียง ซึ่งในวาระแรกขั้นรับหลักการ วุฒิสภาสนับสนุน 210 เสียง ในวาระที่ 3 ก็น่าจะเกิน 1 ใน 3 อยู่แล้ว นอกจากนั้น ในการลงมติวาระ 3 ยังจะต้องมีเสียงสนับสนุนจากฝ่ายค้าน ร้อยละ 20 หรือประมาณ 40 กว่าคน ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยเห็นชอบ ก็จะผ่านเกณฑ์ดังกล่าว จึงมั่นใจว่า จะได้รับเสียงเห็นชอบจากรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่ง และครบหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 กำหนด และผ่านการพิจารณาแบบฉลุยแน่นอน