ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงได้เปิดเผยในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ว่า ต้องเน้นให้เกิดการฉีดวัคซีนในชาวฝรั่งเศส ทุกคนจะต้องได้รับวัคซีน เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปทำงาน และจะไม่ได้รับค่าจ้างหากไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ภายในวันที่ 15 กันยายน
ที่ต้องมีการฉีดวัคซีนบังคับแบบนี้ เพราะการฉีดวัคซีนสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ที่ต้องสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด 19 มาตลอดนั้น ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในยุโรป แต่การชะลอตัวของอัตราการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องเปลี่ยนนโยบายการฉีดวัคซีนใหม่ โดยเฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ต้องได้รับการฉีดอย่างรวดเร็ว
ประธานาธิบดีมาครง ได้กล่าวต่อในการถ่ายทอดสดว่า ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป การทำกิจกรรมต่างๆเช่นการเข้าไปในผับ บาร์ ร้านอาหาร โรงภาพยนต์ และโรงละคร รวมถึงการขึ้นรถไฟและเครื่องบิน จะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนหรือผลตรวจที่เป็นลบ พร้อมทั้งจะกดดันในเรื่องอื่นๆเช่นการตรวจว่าติดเชื้อโควิดหรือไม่ จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีใบสั่งมาเท่านั้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนออกมาฉีดวัคซีนมากขึ้น
ฝรั่งเศสได้ลดจำนวนการฉีดวัคซีนครั้งแรก ที่โดยเฉลี่ยจะฉีดประมาณ 400,000 ครั้งต่อวัน เป็นฉีดอยู่ที่ประมาณ 165,000 ครั้งต่อวัน ขณะนี้ ชาวฝรั่งเศส ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19 จำนวน 1 โดส ประมาณ 53.1 เปอร์เซ็นต์ และผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วประมาณ 40.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเท่านี้ยังไม่จัดว่าเพียงพอต่อการยับยั้งการแพร่ระบาด
หลังจากที่สถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายวันในฝรั่งเศสลดลงเหลือน้อยกว่า 2,000 คนต่อวันในปลายเดือนมิถุนายน แต่มาตอนนี้ผู้ติดเชื้อได้กลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง โดยปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเกือบ 4,000 คนต่อวัน