เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 11 ก.ค. 2564 ที่บ้านของนายสุวิทย์ เกตุแก้ว อายุ 51 ปี นางละม่อม เกตุแก้ว อายุ 55 ปี เลขที่ 164 หมู่ 6 บ้านคลองขุด ต.ปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช นายสุทา ประทีป ณ.ถลาง ส.ส.พปชร.เขต 1 จ.ภูเก็ต ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.)สภาผู้แทนราษฎรได้เดินทางมารับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมและช่วยเหลือจากชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ ต.ปากนคร ต.ปากพูน อ.เมือง ต.แหลมตะลุมพุก ต.ปากพนังฝั่งตะวันออก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ที่ออกทำการประมงชายฝั่ง และถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่ประมง โดยตั้งข้อหล่าวหารุนแรงเกินความเป็นจริง โดยเฉพาะข้อหาทำประมงพาณิชย์ในเขตพื้นที่หวงห้ามและใช้อวนตาถี่กว่าที่กฎหมายกำหนด ต้องคำพิพากษาเสียค่าปรับรายละ 10,000-120,000 บาท พร้อมริบเรือหางยาวที่ดัดแปลงเป็นเรือประมงขนาดเล็ก เครื่องยนต์ และเครื่องมือประมง สร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ชาวประมงสิ้นเนื้อประดาตัวไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ประกอบกับอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยิ่งเพิ่มความลำบากเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น โดยมีนายปรีชา แก้วกระจ่าง นายกเทศมนตรีตำบลปากนคร นายมาโนช ดวงดี นายกสมาคมประมงชายฝั่งปากพนังพร้อมชาวประมงพื้นบ้านทั้งถูกถูกจับกุมและยังไม่ถูกจับกุมทราบข่าวเดินทางมาให้ข้อมูลและขอความช่วยเหลือจำนวนกว่า 25 คน
โดยมีนายนนทชัย ราชภูชงค์ หรือ “หมอนนท์” อายุ 64 ปี นายสุวิทย์ เกตุแก้ว อายุ 51 ปี เป็นตัวแทนชาวประมง ยื่นเอกสารหลักฐานให้นายสุทา ประทีป ณ.ถลาง นำเข้าสู่การพิจารณษาสอบสวนในกรรมาธิการในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.)สภาผู้แทนราษฎรเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพของประชาชนอย่างหนัก
นอกจากนี้ยังมีนายวิโรจน์ หวั่นมะแหม อายุ 62 ปี 553/7 หมู่ 7 บ้านแหลม ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เป็นตัวแทนชาวประมงพื้นบ้านที่ไม่ได้ออกจับสัตว์น้ำ แต่นำเรือไปรับนักท่องเที่ยวทำกิจกรรมเชิงอนุรักษ์กับแหล่งท่องเที่ยวบ้านแหบมโฮมสเตย์ โดยนำอวนจากในลำเรือกองไว้ที่ท่าน้ำ กลับถูกเจ้าหน้าที่ประมงจับกุมและตรวจยึดอวนที่กองไว้ที่ท่าน้ำดำเนินคดีในข้อหาครอบครองเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย และสั่งปรับในชั้นจับกุม 10,000 บาท โดยมีชาวประมงพื้นบ้านคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ออกทำประมงแต่จอดเรือ หรือนำอวนกองไว้ที่ท่าน้ำถูกจับกุมเสียค่าปรับรายละ 10,000 อีกหลายคน
นายวิโรจน์ หวั่นมะแหม หากใครไม่ยอมเสียค่าปรับทางเจ้าหน้าที่ก็จะตามไปยึดเรือที่นำไปดัดแปลงเป็นเรื่องรับส่งนักท่องเที่ยวมาเป็นของกลางและส่งฟ้องศาล ใน 3 ข้อหาหลัก ทำประมงพาณิชย์ในเขตหวงห้าม 3,000 เมตรและใช้เครื่องมือประมงอวนตาถี่กว่า 4 ซ.ม.เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มีโทษปรับสูงสุดถึง 120,000 บาท พร้อมริบเรือ เครื่องยนต์ และเครื่องมือประมง ตนชาวบ้านส่วนใหญ่จึงต้องหยิบยืมเงินมาจ่ายค่าปรับที่ประมงจังหวัด 10,000 บาท เพราะเกรงว่าหากส่งห้องศาลจะถูกปรับสูงขึ้นและถูกริบเรือประมง เครื่องยนต์และเครื่องมือประมง แม้ตนจะยอมทข่ายค่าปรับ แต่ตนเครียด คิดมากนอนไม่หลับ 3-4 คืน เพราะการที่ตนนำอวนลงจากเรือมากองไว้ที่ท่าน้ำไม่น่าจะมีความผิดใด ๆ แต่เจ้าหน้าที่ประมงกลับมาตรวจยึดและไปตามตนที่นอนหลับอยู่ที่บ้านพร้อมแจ้งขอกล่าวหาควบคุมตัวในข้อหาครอบครองเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย พรรคพวกหลายคนที่เอาอวนวางที่ท่าน้ำนำเรือไปรัยบนักท่องเที่ยวโดนข้อหานี้กันหลายคน รวมมั้งคนที่จอดเรือประมงไว้ที่ท่าน้ำและมีอวนหรือเครื่องมือประมงผิดกฎหมายอยู่ในลำเรือก็จะถูกจับกุมดำเนินคดีและปรับที่ประมงจังหวัดสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสวให้กับชาวประมงที่หาเช้ากินค่ำ และยังอยู่ในช่วงการพแร่ระบาดของไวรัสโควิดอีกด้วย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่หรือละเวนการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายสุทา ประทีป ณ.ถลาง พร้อมนายมาโนช ดวงดี นายนนทชัย ราชภูชงค์ หรือ “หมอนนท์ชาวประมงที่ได้รับความเดือดร้อนและสื่อมวลชนได้ลงเรือประมงชายฝั่งไปตรวจสอบพื้นที่อ่าวปากนคร อ่าวปากพนัง โดยพบว่ามีการทำประมงผิดกฎหมายอยู่เต็มไปหมดทั้งเรือคราดหอย เรือล้อมเวียนปลาเขือ เรือประมงลากข้าง เป็นต้น แต่เนื่องจากสื่อมวลชนไลฟ์สดทางเฟซบุ๊คทำให้เรือประมงผิดกฎหมายไหวตะวทมันขับเรือแยกย้ายกันหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังพบเสาไม้ไผ่ที่ปักปันพื้นที่ที่ใช้งบพายุปาบึก 98 ล้านอ้างว่าเป็นโครงการบ้านปลาที่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ยังปักอยู่เกลื่อนอ่าวนับหมื่นไร่ รวมมั้งซากเสาปูนคอกหอยสัมปทานของเอกชนที่ชาวบ้านต่อต้านไม่ได้รับการต่อสัมปทาน จนต้องรื้อคอกหอยทิ้งแต่ยังเหลือเสาปูนปักอยู่หลายจุดเมื่อน้ำขึ้นเสาปูนทั้งหมดจะอยู่ใต้น้ำทำให้ชาวประมงพื้นบ้านขับเรือพุ่งชนเรือแปตกเสียหายได้รับบาดเจ็บมาแล้วหลายราย
นายสุทา ประทีป ณ.ถลาง กล่าวว่าเรื่องนี้ชาวบ้านร้องเรียนตนมาระยะหนึ่งแล้ว และตนได้รายงานให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตารและสหกรณ์ ทราบเบื้องต้นแล้ว ท่าน รมช.มนัส ได้กำชับให้ตนช่วยดูแลช่วยเหลือชาวประมงพื้นบ้านอ่าวปากนคร อ่าวปากพนังด้วย วันนี้ตนจึงเดินทางมารับเรื่องเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในชั้น กมธ. ป.ป.ช. โดยจะกราบเรียน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ป.ป.ช. เพื่อเลื่อนเข้าสู่วาระเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ เพราะเกี่ยวข้องกับความเดือดร้อนของประชาชนอันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ นอกจากจะเชิญเจ้าหน้าที่ประมงและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัด อำเภอเข้าชี้แจงแล้วจะเชิญอธิบดีกรมประมงหรือรัฐมนตรีว่าการ , รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมชี้แจงต่อ กมธ.ป.ป.ช.ด้วย ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้งชาวประมงผู้ร้องและเจ้าหน้าที่ผู้จับกุม
ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่ออกมาแล้วเมื่อเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวแล้วส่งผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของประชาชน จนต้องเดือดร้อนสิ้นเนื้อประดาตัวแบบนี้คงจะต้องเสนอให้มีการทบทวนเพื่อแก้ไขกฎหมาย หรือประกาศกระทรวงเกษตร ฯฉบับลงวันที่ 15 ธ.ค. 2560 มีผลบังคับใช้วันที่ 1 เม.ย. 2561 ด้วย เพราะเป็นประกาศใช้คำนิยม “ประมงพาณิชย์” ที่ขัดกับข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน ตนยืนยันว่าเครื่องมือประมงพื้นบ้านส่วนใหญ่ไม่ถึงขั้นทำลายล้างตามที่อ้างกันมาตลอด แต่สิ่งทมี่ทำลายล้างคือระบบนิเวศที่เกิดจากการปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือการทำประมงพาณิชย์ ไม่ใช่ชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งกฎหมายที่บังคับใช้กับเรือประมงพาณิชย์ กับเรือประมงพื้นบ้านจะมาใช้ร่วมกันไม่ได้ หากเจ้าหน้าที่อ้างว่าทำไปตามพยานหลักฐาน ตนก็จะดำเนินการสอบสวนเอาผิดไปตามพยานหลักฐานเช่นกัน ผลจะออกมาอย่างไรคอยติดตาม นายสุทา กล่าวย้ำ.
ไพฑูรย์ อินทศิลา ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.นครศรีธรรมราช