นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ออกมาประกาศแผนในวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า จะยุติการเว้นระยะห่างทางสังคมและการจำกัดความจุในสถานที่ต่างๆ ในอังกฤษตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม พร้อมระบุว่าผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด 19 ให้ได้ โดยต่อไปรัฐบาลจะไม่สั่งการใดๆ ทั้งในเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัยและการทำงานที่บ้าน แต่จะเปลี่ยนข้อกำหนดที่เป็นกฎหมายเหล่านี้ ให้เป็น “ความรับผิดชอบส่วนบุคคล” ซึ่งหากไม่สามารถผ่อนคลายได้ตามกำหนด ก็ต้องมาหาคำตอบถึงเวลาที่เหมาะสมกับการให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ
รัฐบาลต่างเชื่อว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้นพอสมควร แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังกันต่อไปแม้ว่าจะได้รับวัคซีนกันแล้วก็ตาม โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ ผู้ป่วยก็ยังจะมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขามีอิสระจากข้อกำหนดต่างๆ การรักษาและการเสียชีวิตก็ยังจะมีต่อไป แต่ก็จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตอนก่อนฉีดวัคซีนอย่างมาก
นายกรัฐมนตรีได้มีประกาศว่าจะเร่งโครงการฉีดวัคซีนให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี และจะลดช่วงเวลาของการรับยาโดสที่ 2 จากเดิมที่ 12 สัปดาห์ เป็น 8 สัปดาห์แทน อย่างไรก็ดี แม้ว่าขณะนี้จะมีการเร่งฉีดวัคซีน โดยวัยผู้ใหญ่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสไปแล้ว 64 เปอร์เซ็นต์ แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็เตือนว่าตัวเลขดังกล่าวยังไม่สูงพอและหากจะยกเลิกข้อจำกัดในช่วงนี้ ก็จะนำไปสู่ความหายนะได้
ในแผนการของจอห์นสันนั้น ผู้คนยังคงต้องกักตัวเพื่อรักษาหากมีผลตรวจว่าติดเชื้อโควิด แต่สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว แม้ว่าจะอยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ ก็จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องกักตัว และผู้ที่เดินทางจากเหล่าประเทศที่อยู่ในระดับสีเหลือง แต่ถ้ามีการระบุได้ว่าฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว ก็จะได้รับการยกเว้นข้อจำกัด แต่ยังไม่ได้ลงไปที่รายละเอียดแต่อย่างใด
ในส่วนแผนการอื่นๆ ข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในสังคมจะถูกยกเลิกไป การจัดงานสามารถจัดได้ตามปกติ ไม่ว่าจะงานแต่งงานหรืองานคอนเสิร์ต ธุรกิจที่เหลือทั้งหมดจะได้รับอนุญาตให้เปิดบริการตามปกติได้ ซึ่งรวมถึงบาร์และไนต์คลับด้วย ผู้คนสามารถกลับมาใช้ชีวิตดูหนัง รวมถึงเข้าคิวได้แบบไม่ต้องรักษาระยะห่าง ด้านการทำงานก็ให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายจ้างที่จะกำหนดการกลับมาทำงานตามปกติต่อไป อย่างไรก็ดี การตัดสินใจขั้นสุดท้ายนี้ ยังต้องรอการรับรองในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้