โดย ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฏีกา
วันนี้ไปประชุมที่หนึ่ง พอจบวาระพิจารณามีมติเสร็จ เอกฉันท์เสียด้วย ฝ่ายเลขานุการได้กล่าวขอมติอีกเรื่องนึง คือให้เขา (ฝ่ายเลขานุการ) ไปดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องรอ “รับรองรายงานการประชุม”
สงสัยมานานว่าทำไมเขาต้องขออย่างนี้ในภาคเอกชนที่ไปทำงานด้วยเขาก็ขอมติดังว่านี้แถมมาเหมือนกัน จึงถามเขาไปด้วยความไม่รู้ว่าทำไมต้องขอมติประหลาดเช่นนี้ด้วย
ฝ่ายเลขานุการบอกว่าไม่รู้ เห็นขอกันเป็นปกติ ก็เลยกันเหนียวไว้ก่อน …
ผู้เขียนฟังแล้วเห็นว่าแปลกดี … ไม่รู้เหตุผล แต่ก็ทำตาม ๆ กันมา ไม่เคยสงสัยว่าทำไปทำไม เอาเป็นว่ากันเหนียว … อึ้งกิมกี่กันไปเลยทีเดียว …
จริง ๆ ตามกฎหมายเขาบอกว่าถ้าเป็นการทำงานในรูปองค์กรกลุ่ม อย่าง คณะกรรมการ ถ้าจะต้องตัดสินใจเรื่องอะไร ท่านว่าให้เป็นมติขององค์กรกลุ่มนั้น จะมติเสียงข้างมาก มติพิเศษอะไรก็ว่าไป เมื่อที่ประชุมมีมติ มันก็สมบูรณ์และมีผลผูกพัน (valid and binding) ทันทีที่มีมติ ไม่เห็นต้องรอรับรองรายงานการประชุมเลย
มีมติแล้วผู้เกี่ยวข้องจะเอามติไปทำอะไรต่อก็ทำไปสิ เช่น เอาไปทำคำสั่ง ทำหนังสือแจ้ง ฯลฯ จะรอรับรองรายงานการประชุมไปทำไม???
แต่รายงานการประชุมน่ะกฎหมายกลางคือวิปกครองกำหนดให้ต้องทำไว้ถ้าเป็นคณะกรรมการที่มีอำนาจดำเนินการพิจารณาทางปกครอง เพราะจะได้เป็นหลักฐานในการโต้แย้งในกรณีที่อาจมีการอุทธรณ์คำสั่งนั้น แต่การทำรายงานการประชุมมันไม่มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของมติที่ได้ทำไปแล้ว อีกอย่างนึงนะ รายงานการประชุมที่ทำส่วนใหญ่ก็จดสรุป ไม่ได้ถอดเทปคำต่อคำ มติก็จดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้น จึงไม่รู้ว่าทำไมต้องรอรับรองรายงานการประชุมก่อนให้เสียเวลา …
กว่าจะจดเสร็จ กว่าจะนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป มันจะไปทันกินอะไร กว่าจะนัดประชุมได้ กว่าจะประชุมเสร็จ ยังต้องเสียเวลามารอรับรองรายงานการประชุมอีก …
กลายเป็นว่าการรับรองรายงานการประชุมสำคัญกว่ามติ เพราะต้องรอรับรองรายงานการประชุมก่อน …พิธีการ (Formality) กลายเป็นของขลังและสำคัญกว่าความชอบด้วยกฎหมาย (legality) ซะงั้น … เฮ้อ!!!
สรุปคือทำตาม ๆ กันมา เรื่องที่เข้าคณะกรรมการมันจึงช้านานกันเหลือเกิน …
บอกว่าเป็นเรื่องขำ ๆ ก็ช่วยหัวเราะหน่อยก็แล้วกันนะ