ทีมข่าว TOPNEWS ลงพื้นที่ย่านห้าแยกลาดพร้าว เพื่อสอบถามความคิดเห็นประชาชน ที่มีต่อโครงการยิ่งใช้ ยิ่งได้ กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการวันแรก จันทรที่ 21 มิถุนายน 2564 ว่าคิดเห็นอย่างไรกับโครงการนี้
จากการสอบถาม ประชาชนส่วนใหญ่ ระบุว่า จะไม่ลงทะเบียนร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เพราะได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งที่ออกมาก่อนหน้านี้แล้ว และเคยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการมาตั้งแต่เฟสแรก ดังนั้น การเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการรัฐครั้งนี้ จึงเลือกลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง
อีกทั้งมองว่า ในส่วนของโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้นั้น จะต้องนำเงินออกมาใช้จ่ายก่อน เพื่อรับเงินคืนในภายหลัง ด้วยสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ทำให้ไม่มีเงินที่จะนำออกมาเพื่อร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และต้องใช้จ่ายเงินถึง 6 หมื่นบาท ถึงจะได้เงินคืนในรูปแบบของ e-Voucher 7 พันบาท
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ ยังเห็นด้วยกับมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการใด ที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศ
สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ จะเปิดให้ประชาชนผู้สนใจลงทะเบียนวันแรก 21 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 22.00 น. ของทุกวันเป็นต้นไปจนกว่าจะครบ 4 ล้านสิทธิ ประชาชนที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ จะต้องเป็นประชาชนสัญชาติไทยที่มีบัตรประจำตัวประชาชน อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือไม่ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3
ทั้งนี้ ผู้ที่เคยรับสิทธิโครงการของรัฐ อาทิ ชิมช้อปใช้ เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง เราชนะ ม33 เรารักกัน เราชนะ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการข้างต้นสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com
เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะได้รับ SMS แจ้งสิทธิภายใน 3 วัน โดยก่อนการใช้สิทธิครั้งแรกผู้ได้รับสิทธิตามโครงการจะต้องยืนยันตัวตนเพื่อใช้ g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ด้วยบัตรประจำตัวประชาชน
ส่วนผู้ที่ไม่เคยยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนสามารถยืนยันตัวตนได้ที่ สาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด มหาชน (ธนาคารกรุงไทยฯ) หรือตู้เอทีเอ็มสีเทาของธนาคารกรุงไทยฯ หรือผู้ที่มีแอปพลิเคชัน KrungthaiNext สามารถยืนยันตัวตนผ่าน KrungthaiNext ได้
และเมื่อยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว จะสามารถใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการ ได้แก่ ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ค่าบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ (ไม่รวมถึงสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกำนัล (Gift voucher) บัตรเงินสด (Gift card) และสินค้าหรือบริการที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า เพื่อรับบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e – Voucher) กับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2564 ในเวลา 06.00 น. – 23.00 น.
โดยวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ e – Voucher ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน ซึ่งยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิต้องไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิ e – Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ
สำหรับยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1 – 40,000 บาทแรก ได้รับ e – Voucher ร้อยละ 10 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน ยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,001 – 60,000 บาท ได้รับ e – Voucher ร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งสิทธิ e -Voucher จะคืนเป็นวงเงินเข้าใน g – Wallet ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
ทั้งนี้ สามารถใช้จ่ายด้วย e -Voucher ที่ร้านที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2564 โดยไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้
สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการและมีคุณสมบัติเป็นไปตามที่กำหนด ได้แก่ ร้านค้าทั่วไป ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านธงฟ้า ร้าน OTOP ผู้ประกอบการบริการนวด สปา ทำผม ทำเล็บ ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน เป็นต้นไป เวลา 06.00 น. – 22.00 น. ผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือสาขาธนาคารกรุงไทยฯ
ล่าสุด เฟซบุ๊ก Krungthai Care ได้โพสต์ตัวอย่างร้านค้า ร้านบริการต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการฯ บางส่วน ยังมีร้านค้าชั้นนำอีกมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ เซ็นทรัล โรบินสัน ศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยม และเอ็มควอเทียร์ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ โลตัส ออฟฟิศเมท บุญถาวร