หลังจากที่ นายไชย์พล วิภา ผู้ต้องหาในคดีที่ทำให้ น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ เสียชีวิต ได้เดินทางมาพร้อมนายษิทา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ที่อาคารรัฐสภา เพื่อยื่นเรื่องต่อนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเป็นประธานกรรมาธิการ (กมธ.)กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ขอความเป็นธรรม ตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดมุกดาหารเป็นเท็จเพื่อออกหมายจับลุงพล และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อกลั่นแกล้งลุงพลให้ได้รับความอับอาย จากการควบคุมตัวที่เกินกว่าเหตุนั้น
ซึ่งนายสิระ ได้ให้สัมภาษณ์กับTOPNEWS ก่อนหน้านี้ว่า กมธ.เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้ามาร้องเรียนได้ หากไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งฝ่ายแม่ของน้องชมพู่ หรือ ตำรวจในพื้นที่หากถูกกดดันจากผู้บังคับบัญชาให้เร่งรัดคดีก็สามารถร้องเรียนเข้ามาได้ ซึ่งหลังจากรับเรื่องร้องเรียนแล้วก็จะบรรจุเข้าในวาระการประชุมของ กมธ.กฎหมายฯ แล้วจะเชิญพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้ามาชี้แจงในวันที่ 16 มิถุนายน นี้ ท่ามกลางข้อสงสัยว่า การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นซึ่งในรูปคดีก็ต้องเก็บข้อมูลเป็นความลับ หากต้องมาชี้แจงในชั้นกรรมาธิการ ต่อสาธารณะแบบนี้แล้ว ทนายความฝ่ายผู้ต้องหาก็จะรู้ข้อมูลเตรียมพยานหลักฐาน ไว้หักล้างทางคดีได้หมดแล้วแบบนี้ จะไม่เสียรูปคดีหรือ
ล่าสุดวันนี้(9 มิ.ย.) พล.ต.ท. อำนวย นิ่มมะโน กรรมการปฎิรูปประเทศ ด้านกระบวนการยุติธรรม ให้สัมภาษณ์กับ TOPNEWS ว่า จากกรณีที่ทนายความ และผู้ต้องหา ได้เดินทางมายื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมกับนายสิระ เจนจาคะ กมธ.กฎหมาย ตนมองว่า การทำงานของตำรวจจะไปข้างหน้าได้อย่างไร เพราะตร.ทำงานเรื่องสอบสวน รวมบรวมพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ เพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษอยู่แล้ว นั่นคือกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดให้เห็นตามที่กล่าวหา นอกจากนั้นยังมีพยานหลักฐานด้านนิติวิทยาศาสตร์ หรือพยานอื่นใดบรรดามี ที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้กระทำผิด ได้ลงมือกระทำการฆ่าผู้ตาย จนถึงแก่ความตายสมเจตนา
จากนั้นก็จะส่งสำนวนการสอบสวนพยานหลักฐานที่รวมได้ให้พนักงานอัยการตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ก่อนที่จะมีความเห็นทางคดีสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง หากฟ้อง คดีจะเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลต่อไป พยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมจึงถือเป็นความลับไปจนกว่าจะมีการพิสูจน์กันในชั้นศาล เพราะหากไม่แล้วจะทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในทางคดี เกิดความไม่เป็นธรรมกับคู่กรณี เพราะหากยอมให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดล่วงรู้ถึงพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่งเสียตั้งแต่ต้น ก็สามารถเปรียบเทียบง่ายๆจะเหมือนกับเล่นไฮโลกันแล้วยอมเปิดถ้วยให้แทง
ส่วนคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ที่มีข่าวมาร้อง กมธ.กฎหมายฯของส.ส. จนถึงขนาดจะเชิญ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพนักงานสอบสวน มาชี้แจงถึงพยานหลักฐาน ที่ขออนุมัติออกหมายจับในคดีดังกล่าวในวันที่ 16 มิ.ย. 64 โดยตั้งประเด็นว่า อาจจะเป็นการขออนุมัติหมายจับโดยมิชอบ ซึ่งถ้าหากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและพนักงานสอบสวน นำพยานหลักฐานไปชี้แจงต่อ กรรมาธิการ ตามคำร้องของทนายลุงพลแล้วละก็ จะกลายเป็นการไปเปิดถ้วยไฮโลให้ทนายลุงพลแทง ก็เท่านั้นเอง!!!
แล้วความเป็นธรรมจะอยู่ตรงไหน ? คู่กรณีจะเสียความเป็นธรรมหรือไม่ ? พนักงานสอบสวน รวมถึงตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเอง ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักร จะมีความผิดฐานนำความลับในสำนวนไปเปิดเผยหรือไม่ วันนี้ต้องช่วยแยกกันให้ออกนะครับ ระหว่าง “สืบสวน” กับ “สอบสวน” ถ้ามีผู้ไปร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในการค้น ในการจับ ซึ่งเป็นหน้าที่ ของตำรวจ ฝ่ายสืบสวน/ป้องกันปราบปราม ว่ามีการละเมิดสิทธิ์หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมแบบนี้ ก็ว่ากันไป แต่ถ้าล่วงเลยไปถึงการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์และหรือเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ อันเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ดังเช่นคดีนี้แล้วจะมีใครมีสิทธิ์ หรือ มีความถูกต้อง เหมาะสม ที่จะยื่นมือเข้าไปล้วงความลับในสำนวนการสอบสวน พยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวน รวบรวมไว้ได้หรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ จะเกิดความเป็นธรรมกับคู่กรณีหรือไม่ และที่สำคัญถ้าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและพนักงานสอบสวน นำพยานหลักฐานไปชี้แจงต่อกรรมาธิการต่อหน้าทนายความลุงพลหรือไม่ก็ตาม ก็จะเป็นบรรทัดฐาน ให้ทนายความในคดีอื่นๆใช้ช่องทางนี้ ล้วงเอาความลับในสำนวน ล้วงเอาพยานหลักฐานในสำนวน แล้วกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นจะอยู่กันยังไงอีกต่อไป ก็คิดเอาว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป