เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นพ.ฆนัท ครุฑกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ และ นพ.พรเทพ พงศ์ทวิกร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) และคณะผู้บริหาร เปิดกิจกรรม “สูงวัยสู้ภัยโควิด 19” ปล่อยขบวนรถเคลื่อนที่บริการฉีดวัคซีนในสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุใน กทม. ณ บริเวณลานพระรูป พระบิดาสมเด็จย่า กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี โดยเป็นการนำร่องพื้นที่เสี่ยงสูง 32 จุด รอบกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,200 คน ตั้งแต่วันที่ 8 – 10 มิถุนายนนี้ และจะขยายไปอีกกว่า 3,000 แห่ง ทั่วประเทศ
โดย นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จัดโครงการ คาราวานผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบางถึงที่บ้าน โดยไม่ได้กำหนดเป้าหมายว่า จะตัองฉีดเป็นจำนวนเท่าไหร่เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ไม่สะดวกที่จะเดินทางเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะมีทีมแพทย์ ทีมพยาบาลและอุปกรณ์ในการฉีดวัคซีน ไปบริการให้ถึงที่บ้าน อีกทั้ง มีเครือข่ายทีมกู้ภัยจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ร่วมด้วย และหากการปูพรมฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุและกลุ่มคนเปราะบางในกรุงเทพมหานครได้ผลดี ก็จะใช้หลักการนี้ กระจายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ โรงพยาบาลหลายแห่งเลื่อนการฉีดวัคซีนว่า ได้มีการสอบถาม อธิบดีกรมควบคุมโรค โดยได้รับการยืนยันว่า ทุกโรงพยาบาล ได้รับการจัดสรรวัคซีนตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีโรงพยาบาลใดเลื่อนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ทั้งนี้ก็ต้องทำความเข้าใจกับทางหน่วยบริการถึงการกระจายวัคซีนว่า ควรจะวางแผนการฉีดในแต่ละสัปดาห์ให้พอดี อย่าเร่งฉีดจนวัคซีนหมด และต้องวางแผนการฉีดที่จะต้องมีความต่อเนื่อง ทั้งเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ซึ่งเรื่องของการฉีดวัคซีน ถือเป็นวะระแห่งชาติที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ ที่จะต้องสื่อสารกันตลอด และทุกอย่างจะต้องมีการคำนวณไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน