ในช่วงที่ผ่านมา มีการตั้งข้อสังเกตกันอย่างกว้างขวางถึงการประมูลรถไฟทางคู่ สายเหนือ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งราคาประมูลมีความใกล้เคียงกับราคากลางมาก ผู้ชนะการประมูลสายเหนือ และสายอีสาน เสนอต่ำกว่าราคากลาง คิดเป็น 0.08% เท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ช่วงนครปฐม-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ที่เปิดประมูลในปี 2560 ที่สามารถประหยัดค่าก่อสร้าง คิดเป็น 5.66%
ทั้งนี้ การประมูลรถไฟทางคู่เส้นทางสายใต้ ผู้รับเหมาขนาดกลางเข้าประมูลได้ เนื่องจากทีโออาร์เปิดกว้างมากกว่าสายเหนือและสายอีสาน ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีการปรับเปลี่ยนทีโออาร์ โดยลดผลงานก่อสร้างทางรถไฟในสัญญาเดียวจาก 15% เหลือ 10% ของค่าก่อสร้าง และแยกประมูลงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณออกจากการประมูลงานก่อสร้างทางรถไฟ เป็นการปลดล็อกให้ผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถเข้าประมูลได้
ขณะที่ สายเหนือและสายอีสาน ทีโออาร์กำหนดให้ผู้รับเหมาต้องมีผลงานในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 15% ของค่าก่อสร้าง และสายเหนือและสายอีสาน รวมงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณเข้ากับงานก่อสร้างทางรถไฟ ซึ่งอาจทำให้ปิดโอกาสการเข้าประมูลของผู้รับเหมาขนาดกลางได้ เนื่องจากไม่ได้รับหนังสือรับรองจากผู้ผลิตระบบอาณัติสัญญาณ
จากเงื่อนไขต่างๆ ทำให้ผู้รับเหมาที่เข้าประมูลงานในครั้งนี้ ล้วนเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า โครงการดังกล่าวมีการล็อคสเปคหรือไม่ ?
ก่อนหน้านี้ ทางนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้ยืนยันว่า ไม่มีล็อคสเปคอะไร เรื่องนี้เป็นวิธีการประกวดราคาแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-bidding ของกรมบัญชีกลาง ที่ประกาศตามระเบียบพัสดุ ที่จัดทำโดยกรมบัญชีกลางเอง และหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่ได้มีหน้าที่จัดการประมูล แต่มีหน้าที่ทำข้อกำหนดรายละเอียด หรือทีโออาร์เท่านั้น
ในวันนี้(7 มิ.ย.) นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง ได้เปิดเผยกับ “TOPNEWS” ว่า กรมบัญชีกลาง รับผิดชอบในเรื่องระบบ e-bidding แต่ว่าใครจะชนะ หรือใครจะเป็นผู้ที่จะได้ เป็นเรื่องของหน่วยงานเจ้าของโครงการที่จะพิจารณา เพราะมีเกณฑ์ในเรื่องคุณสมบัติด้วยและราคาด้วย คือ e-bidding เคาะราคา แต่หลังจากนั้นก็จะมีคณะกรรมการของทางหน่วยงานเจ้าของโครงการเป็นผู้พิจารณา ว่าใครเคาะราคาต่ำสุดจะได้ หรือว่าคนที่เคาะราคาต่ำสุดมีคุณสมบัติที่ไม่ครบถ้วนหรือเปล่า ซึ่งอันนี้จะเป็นเรื่องของหน่วยงาน
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า เค้าคงผลักมาทางนี้ว่าเรื่อง e-bidding เป็นของกรมบัญชีกลาง แต่ท้ายสุดเวลาพิจารณาชี้ว่าจะได้ใคร มันก็ต้องเป็นไปตามทีโออาร์ ตามเงื่อนไขของแต่ละหน่วยงานเจ้าของโครงการ ซึ่งถ้าเกิดพิจารณาแล้ว ใครถูกตัดคุณสมบัติหรือเห็นว่าการพิจารณาประกาศผลไม่ชอบ เค้าก็มีสิทธิอุทธรณ์ และมากรมบัญชีกลางอีก นี่คือขั้นตอนนะครับ
ทั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คือกรมบัญชีกลาง แต่ในเบื้องต้น e-bidding คือเราเป็นผู้ดูแลระบบ เจ้าของระบบ เพื่อให้เกิดความแฟร์กับทุกราย เค้าเคาะราคามาโดยไม่มีใครรู้ข้อมูลของใคร คือฮั้วกันไม่ได้ คือป้องกันการฮั้วนะครับ e-bidding น่ะ
หลังจากนั้น หน่วยงานก็ไปพิจารณา ว่า คนที่เคาะราคาได้ เป็นผู้ชนะหรือเปล่า หรือว่าเป็นอันดับสองเป็นผู้ชนะ อะไรก็ว่าไปตามขั้นตอนของเขา หลังจากนั้นก็มีการโต้แย้งอุทธรณ์ขึ้นมาตามขั้นตอน
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องของโอกาสที่จะเกิดการฮั้วประมูลในโครงการดังกล่าว นายประภาส กล่าวว่า ทางกรมบัญชีกลาง ไม่ได้เป็นผู้ชี้ คือเราเป็นผู้ดูแลระบบเพื่อให้มา e-bidding กันที่นี่เท่านั้นเอง แต่หลังจากนั้น เมื่อมีการ e-bidding กันเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่พิจารณาจะเป็นคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของแต่ละหน่วย ก็คือการรถไฟฯ จะต้องเป็นผู้ชี้ก่อนว่า ตกลงได้ใคร ถ้าได้ใครเสร็จแล้ว ใครโต้แย้งหรืออุทธรณ์บ้าง ก็ส่งมาที่ผม เท่านั้นแหละครับ แต่ถ้าไม่มีใครโต้แย้ง ก็จะเป็นไปตามที่การรถไฟฯ เป็นผู้ตัดสิน
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวย้ำด้วยว่า การประมูลทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนตามปกติของกรมบัญชีกลาง เหมือนกันกับทุกโครงการไม่ว่า e-bidding ของที่ไหน เหมือนกัน จะเป็นแบบนี้
ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าว TOPNEWS เคยสอบถามไปยังนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ถึงกรณีที่ราคาประมูลรถไฟทางคู่สายดังกล่าว ใกล้เคียงราคากลางมาก ซึ่งผู้ว่ารฟท. กล่าวว่า ต้องไปถามเอกชน ข้อมูลก็อยู่ในทีโออาร์ ในซองอยู่แล้ว ส่วนเขาจะไปคุยกันหรือเปล่า รฟท.ไม่ทราบ “การสมยอมราคา เป็นเรื่องของเอกชน ที่ใครจะไปสมยอมกับใคร” ยังงงอยู่ว่า ทุกคนวิ่งมาที่รถไฟ ว่าราคาที่ประมูลต่ำกว่าราคากลางเพียงเล็กน้อย แล้วทำไมไม่มีใครถามเอกชนสักคน