No data was found

แฉกล้องวงจรปิดป้อมยามตำรวจ 2 จุดพร้อมใจเสีย ส่งผลคดีเผารถแบคโฮ “ผู้ใหญ่เด่น”ไร้หลักฐาน

กดติดตาม TOP NEWS

แฉกล้องวงจรปิดป้อมยามตำรวจ 2 จุดพร้อมใจเสีย ส่งผลคดีเผารถแบ็กโฮ “ผู้ใหญ่เด่น”ไร้หลักฐาน

จากกรณีที่นายกำธร กำราญศึก หรือผู้ใหญ่เด่น” อายุ 42 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 ต.ลานสกา อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช อยู่บ้านเลขที่ 44 หมู่ 2 ต.ลานสกา อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ได้ร้องเรียนศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ว่าถูกกลุ่มคนร้ายลอบเผารถแบคโฮขนาด 75 แรงม้า (ขนาดกลาง) เพิ่งซื้อแค่ไม่ถึง 1 เดือนของตนเสียหายไปจำนวน 1 คันมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท หลังจากได้รับการว่าจ้างจากวัดเจดีย์ให้ไปตักทรายที่ท่าน้ำของวัดนำมาถมปรับสภาพพื้นที่บริเวณวัดเจดีย์ และจอดทิ้งไว้ใกล้ลำคลองวัดเจดีย์ ซึ่งอยู่ด้านหลังวัดเจดีย์ หมู่ 1 ต.ลานสกา โดยเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 17 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่คดีไม่คืบหน้าใด ๆ ล่สุดทาง พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว. นครศรีธรรมราช รับปากจะเร่งรัดคดีติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีอย่างเร่วด่วน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น


วันที่ 23 ม.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้รับความสนใจจากประชาชนทั้งในพื้นที่และประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก เนื่องจาก อ.ลานสกา เป็นอำเภอที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว เป็นแหล่งที่มีอากาศดีที่สุดในเมืองไทย โดยเฉพาะหมู่บ้านคีรีวง แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศฯ และวิถีชุมชนระดับโลกและล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2564 นายพิพัฒน์ รัฐกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา (รมว.กก.) เป็นประธานในพิธีเปิดให้บริการจุดเช็คอินเขาช้างสี ตำบลลานสกา อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ใกล้กับพื้นที่เกิดเหตุเผารถแบคโฮของนายนายกำธร กำราญศึก หรือ ผู้ใหญ่เด่น ไม่กี่กิโลเมตร ซึ่ง “เขาช้างสี” เป็น 1 ใน 11 จุดเช็คอินทั่วประเทศ ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงประชาชนนพื้นที่ โดยมีนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช รายงานถึงสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีจํานวนผู้มาเยี่ยมเยือน ทั้งสิ้น 648,582 คน ซึ่งจัดอยู่ในลำดับที่ 15 ของประเทศ และเป็นอันดับที่ 2 ของภาคใต้ รองจากจังหวัดภูเก็ต สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมูลค่า 2,298 ล้านบาท


ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคนหนึ่งใน อ.ลานสกา กล่าวว่า หลังเกิดเหตุกลางดึกคืนวันที่ 17 ม.ค. 2565 ในเช้าของวันที่ 18 ม.ค.2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาตรวจสอบเก็บรายละเอียดในที่เกิดเหตุ ได้มีประชาชนทั้งในและต่างพื้นที่ที่ทราบข่าวนับพันคนต่างให้ความสนใจ เนื่องจากไม่เคยเกิดคดีอาชญากรรมในลักษณะนี้ในพื้นที่มาก่อน โดยเฉพาะผู้เสียบหายเป็นผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ต.ลานสกา อ.ลานสกา ประชาชนจึงแห่เดินทางมาดูสถานที่เกิดเหตุ จนแน่นพื้นที่เกิดเหตุยิ่งกว่าชมคอนเสิร์ตเสียอีก พบว่าริมถนนใหญ่ปากทางเข้าจุดเกิดเหตุมีป้อมยามตำรวจตั้งอยู่ มีกล้องวงจรปิด จะสามารถจับภาพการเข้าออกในจุดเกิดเหตุได้อย่างชัดเจนแน่นอน เพราะจุดพื้นที่เกิดเหตุเป็นชนบทประกอบกับเป็นในช่วงกลางคืนระหว่าง 21.00-22.00 น. ไม่ได้มีผู้คนพลุกพล่านจึงต่างเชื่อว่ากล้องวงวจรปิดจะจับภาพคนร้ายหรือผู้ต้องสงสัยได้ ทำให้ตำรวจสามารถสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้อย่างไม่ยากเย็น  “แต่ขณะนี้มาทราบว่าการสอบสวนสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจประสบปัญหาและอุปสรรคเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำป้อมยาม อ้างว่ากล้องวงจรปิดเสียพอดี ไม่สามารถจับภาพคนรายหรือผู้ต้องสงสัยที่เข้าไปในพื้นที่ได้ นอกจากนี้เมื่อตรวจกล้องวงจรปิดอีกตัวหนึ่งในอยู่ห่างออกไปก็พบว่ากล้องเสียเช่นเดียวกัน มันเป็นไปได้อย่างไร การติดกตั้งกล่องวงจรปิดมีวัตถุประสงค์ในการควบคุมป้องกันเหตุร้ายหรือการก่อคดีอาชญากรรมในพื้นที่ หากกล้องเสียมาก่อนหน้านี้ทำไม่ตำรวจที่รับผิดชอบไม่แจ้งผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไข ปรับปรุงซ่อมแซม ปล่อยเอาไว้โดยใช้การไม่ได้ได้อย่างไร ชาวบ้านสวนใหญ่ต่างเคลือบแคลงใจสงสัยในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงขอฝากไปถึง พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ให้ความสำคัญในประเด็นนี้และเร่งปรังปรุงซ่อมแซมกล้องวงจรปิดในจุดนี้และทุกจุดที่มีการติดตั้งให้สามารถใช้งานได้ตามปกติด้วย จะได้ไม่มีปัญหาในกรณีเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นในแต่ละพื้นที่”


ในขณะที่แกนนำชาวบ้านในพื้นที่คนหนึ่งกล่าวว่า การนำรถแบ็กโฮมาตักทราจากท่าน้ำวัดเจดีย์หมู่ 1 ต.ลานสกา ใส่รถบรรทุก 10 ล้อนำไปถมที่วัดระยะทางประมาณ 1 กม.เศษ พร้อมรถไถเกลี่ยถมที่ให้ได้ระดับ ตามปกติค่าจ้างประมาณรถละ 1,200 บาทขึ้นไป ซึ่งก่อนหน้าที่นายกำธร กำราญศึก หรือผู้ใหญ่เด่น” จะมารับงานตักทรายที่มาถมที่วัดเจดีย์ มีอดีตนักการเมืองท้องถิ่นใน อ.ลานสกา คนหนึ่งมาติดต่อขอรับเหมาจากทางวัด แต่เนื่องจากทางวัดมีงบประมาณไม่เพียงพอจึงยังไม่ตัดสินใจว่าจ้างนักการเมืองท้องถิ่นคนดังกล่าว จนต่อมาทางวัดได้ติดต่อนายกำธร หรือ “ผู้ใหญ่เด่น”ให้มาช่วยและทางนายกำธร หรือผู้ใหญ่เด่น และทีมงานต้อวงการที่จะทำบุญช่วยวัดจึงตกลงรับงานโดยไม่คิดกำไรใด ๆ จะคิดแค่ค่าน้ำมัน แค่จ้างคนขับรถแบ็กโฮ รถบรรทุก 6 ล้อและรถไถเกรดเกลี่ยดินแค่เที่ยวละ 500 บาทเท่านั้น จึงอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับนักการเมืองท้องถิ่นคนดังกล่าวที่คิดว่านายกำธร หรือ “ผู้ใหญ่เด่น”และทีมงานจงใจมารับเหมางานตัดหน้าทำให้ตัวเองสูญเสียผลประโยชน์ จึงแก้แค้นด้วยการบุกเผารถแบ็กโฮของนายกำธร หรือ “ผู้ใหญ่เด่น” ดังกล่าว


นายกำธร กำราญศึก กล่าวว่า ตนยืนยันตนไม่เคยมีปัญหาโกรธแค้นกับใครเป็นการส่วนตัว ตั้งแต่ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.ลานสกา มานาน 9 ปี ตนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อพื้นที่และช่วยเหลือประชาชนและช่วยเหลือส่วนรวมมาโดยตลอด ส่วนเรื่องการเมืองท้องถิ่นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้ทุกคนมีตวามคิดเห็นเหมือนกันทั้งหมดไม่ได้ จึงมีฝ่ายตรงข้ามที่อาจจะเห็นต่างจากตนและทีมงาน หากเขานำประเรื่องนี้มาเป็นประเด็นและไม่พอใจ โกรธแค้นถึงกับแก้แค้นด้วยการลักลอบเผารถแบคโฮของตนแบบนี้ คนที่คิดแบบนี้มันใช้ไม่ได้ ซึ่งตนรายละเอียดทั้งหมดตนได้ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนหมดแล้ว ยอมรับว่าเรื่องที่ตนสงสัยมากที่สุดคือกล้องวงวจรปิดที่ป้อมยามตำรวจริมถนนทางเข้าจุดเกิดเหตุ รวมทั้งอีกจุดหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนักมันมาพร้อมใจกันเสียใช้การไม่ได้พอดี มันเป็นไปได้อย่างไร จึงขอฝากความหวังไว้ที่ ผกก.สภ.ลานสกา พนักงานสอบสวน ชุดสืบสวนและ พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ให้ช่วยติดามจับกุมมือวางเพลงเผารถแบคโฮของตนมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว.

กัญญาณัฐ  เพ็ญสวัสดิ์/ จ.นครศรีธรรมราช

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น