มสส. ร่วมกับ สสสย. จัดประชุมโฟกัส กรุ๊ป ในหัวข้อ “ทิศทาง กม.ลำดับรอง…หลังประกาศใช้ พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ใหม่

วงประชุมสื่อมวลชนรับสังคมยังสับสนหลังประกาศใช้กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ระหว่างรอกฎหมายลำดับรองให้เสร็จใน 1 ปี ควรรอให้คณะกรรมการควบคุมฯชุดใหม่มาทำหน้าที่ดีกว่า เห็นด้วยตั้งคณะทำงานติดตามตรวจสอบการออกประกาศที่ไม่เหมาะสม ส่วนหลายเรื่องบังคับใช้ได้เลยทั้งห้ามขายเหล้า ให้เด็กต่ำกว่า 20 ปี ห้ามใช้ตราเสมือนในการโฆษณา หากกฎหมายลำดับรองยังไม่เสร็จให้ใช้กฎหมายเดิมไปก่อน ด้านสื่อมวลชนเรียกร้องให้เกาะติดตัวแทนธุรกิจเหล้าในคณะกรรการควบคุมแอลกอฮอล์อย่างเข้มข้น

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ณ ห้องบุษบงกช เอ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร, มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับเครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) จัดประชุมโฟกัส กรุ๊ป ในหัวข้อ “ทิศทาง กม.ลำดับรอง…หลังประกาศใช้ พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ใหม่” โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) กล่าวเปิดการประชุมว่า มุมมองต่อเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มุมหนึ่งอาจเป็นการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กับประเทศแต่จำเป็นต้องคำนึงถึงการขับเคลื่อนสังคมสุขภาวะด้วย เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อสุขภาพและความปลอดภัยในสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญ การออกกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ซึ่งบังคับใช้แล้วแต่สังคมยังสับสนว่าเนื้อหาที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมีผลบังคับใช้ได้ทันทีเลยหรือไม่ หรือมีประเด็นไหนบ้างที่จะต้องใช้เวลาไปจัดทำเนื้อหาให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ ส่งผลให้มีการทำผิดกฎหมายและไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย เพราะคิดว่า ทุกอย่างได้รับการปลดล็อกไปแล้ว

ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมายและเกิดการปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อลดผลกระทบต่อทุกฝ่าย การประชุมในครั้งนี้สื่อมวลชนจะได้รับฟังข้อมูลที่ถูกต้องจากผู้รู้ซึ่งเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำกฎหมายโดยตรง เพื่อจะได้ช่วยกันสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูลความจริงสู่สาธารณะและมองทิศทางข้างหน้าในการจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อปกป้องทุกคนในสังคมจากพิษภัยและผลกระทบของแอลกอฮอล์ในมิติต่างๆกันต่อไป อยากฝากให้สังคมช่วยกันติดตามกฎหมายลำดับรองที่จะออกมา โดยหวังว่าทุกฝ่ายจะมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

นายธีระ วัชรปราณี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีเจตนารมณ์จำกัดการขยายตัวของการดื่มและผลกระทบ โดยควบคุมการโฆษณา การลดแลกแจกแถม วันเวลาขาย สถานที่ดื่มและขาย อายุผู้ซื้อและอาการของผู้ดื่ม แต่สินค้าแอลกอฮอล์มีมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี มีผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายย่อยและวิสาหกิจชุมชน ค่านิยมดื่มเพื่อเข้าสังคม เสรีภาพในการดื่ม ต้องการรายได้จากการท่องเที่ยว ภาวะเศรษฐกิจซบเซาทำให้รัฐบาล พรรคการเมือง กลุ่มธุรกิจสุราเสนอให้ปรับนโยบายเพื่อเศรษฐกิจมากกว่าสุขภาพ จึงใช้เวลา 1ปีครึ่ง แก้กฎหมายจนประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอออล์ฉบับที่ 2 ปี 2568 มีการผ่อนคลายหลายจุดที่สำคัญคือให้มีผู้แทนธุรกิจแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นคณะกรรมการควบคุมแอลกอฮอล์ระดับชาติ กลายเป็นข้อห่วงใยด้านการถูกแทรกแซงทำให้ด้อยประสิทธิภาพการควบคุมในอนาคต

การจะทำกฎหมายลำดับรองประเด็นสำคัญคือนิยามคำว่าจัดเลี้ยงตามประเพณี ควรขยายความให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะมีผลต่อการใช้สถานที่ราชการ โรงเรียน เป็นสถานที่จัดเลี้ยง เรายืนยันว่าของเดิมดีอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องระยะห่างจากสถานศึกษาของร้านจำหน่ายแอลกอฮอล์ ควรจะให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดเป็นผู้ตัดสิน ส่วนบทบาทของผู้แทนธุรกิจแอลกอฮอล์ในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะต้องมีกฎหมายลูกกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องที่มีส่วนได้เสียว่าจะมีสิทธิโหวตได้หรือไม่ได้ การแก้ไขผ่อนคลายใบอนุญาตผลิตสุราให้ทำได้ง่าย การผลิตที่บ้านเพื่อดื่มกันเอง การนำเข้าแอลกอออล์จากต่างประเทศจากการลดภาษีไวน์ ที่น่าห่วงคือการเจรจาการค้า FTA กับยุโรปจะยิ่งเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์เข้ามาขายในประเทศไทย ทำให้คนไทยมีโอกาสพิการและตายเพิ่มขึ้น

​“น่าจะมาถึงยุคที่ทุกภาคสังคมต้องตื่นตัวมาร่วมกันควบคุมใช้ทุกมาตราที่มีอยู่บังคับใช้ ยึดข้อมูลและความปลอดภัยของสังคม หวังว่าเหตุร้ายที่เคยเกิดย้อนหลังก่อนมีกฎหมายฉบับนี้จะไม่กลับมาซ้ำ” นายธีระกล่าว

นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่าสิ่งที่ต้องเร่งทำกฎหมายลูกให้แล้วเสร็จคือการได้มาซึ่งคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์รอบคอบในการประชุมพิจารณาออกประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอออล์ ดังนั้นควรรอให้มีการคัดเลือกผู้แทนองค์กรเอกชนและผู้แทนนิติบุคคลด้านผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ทรงคุณวุฒิ เข้ามาเป็นกรรมการ การที่คณะกรรมการชุดเดิมมีมติยกเลิกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วง 14.00-17.00 น. ที่ผ่านมาตนมองว่าขาดความชอบธรรม แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ดำเนินการได้ แต่ความสมบูรณ์ของคณะกรรมการยังเป็นปัญหาจึงไม่ควรตัดสินใจอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ และมีผลต่อประชาชนในวงกว้าง


นายชูวิทย์ ย้ำว่าเนื้อหาของกฎหมายใหม่ที่บังคับใช้ได้เลยโดยไม่ต้องรอกฎหมายลำดับรองก็มีหลายมาตรา เช่น การห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเพิ่มโทษปรับสูงขึ้นจาก 20,000 เป็น 100,000 บาท การห้ามใช้ตราเสมือนมาโฆษณาให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สื่อโฆษณาต่างๆต้องถูกสแกนและบังคบใช้กฎหมาย อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ฉบับใหม่ระบุว่าระหว่างที่รอกฎหมายลำดับรอง ให้นำ พ.ร.บ.ฉบับเดิมคือ ปี 2551 มาบังคับใช้ไปพลางก่อน ดังนั้นไม่ใช่ว่าตอนนี้ใครจะทำอะไรก็ได้ อะไรที่ผิดก็ต้องดำเนินคดีไม่ใช่ปล่อยให้พวกนายทุน ร้านเหล้า ผับบาร์ ฉวยโอกาสหาประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น มีการแอบขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยตู้อัตโนมัติในหลายพื้นที่ ทั้งที่ยังไม่มีหลักเกณฑ์วิธีการใดๆออกมา ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้ซื้อได้ แบบนี้ก็ถือว่าผู้ที่ฝ่าฝืนเป็นความผิดตามกฎหมายเดิม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดการเด็ดขาด เร็ว ๆ นี้ เราจะเสนอต่อกระทรวงสาธารณสุขว่า ควรจะมีการประเมินผลกระทบของการประกาศให้มีการขายแอลกอฮอล์ได้ในช่วงเวลาที่มีการทดลอง 180 วัน โดยอาจจะให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบในการประเมิน

นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ทนายความ และผู้ประสานงานเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย) กล่าวว่า หลังพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา บางมาตรการมีผลบังคับใช้ทันทีแต่หลายมาตรการต้องรอการออกกฏหมายในลำดับรองเพื่อแสดงถึงรายละเอียด โดยในมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติฯ ฉบับ พ.ศ.2568 ได้บัญญัติไว้ว่าบรรดากฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกับกฎหมายทั้งสองฉบับ จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศออกมาใหม่ และให้ดำเนินการออกระเบียบ หรือประกาศตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 และ พ.ศ.2568 ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับแต่วันที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับหรือภายในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2569

กรมควบคุมโรคจึงได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานจัดเตรียมข้อมูลในการยกร่างกฎหมายลำดับรอง ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2568 เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมแอลกอฮอล์พิจารณาออกประกาศ เช่น เรื่องการโฆษณาซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ หากปล่อยให้มีการโฆษณาได้ง่ายก็จะมีผล นอกจากนั้นก็จะมีเรื่องนิยามของคนเมา ว่ามีอาการแค่ไหนจึงถือว่าเมา รวมทั้งการขายผ่านตู้อัตโนมัติ ทั้งลักษณะของตู้ การเสียบบัตรและการตรวจสอบผู้ซื้อแอลกอฮอล์ จึงอยากให้ประชาชนช่วยกันจับตาการออกกฎหมายในลำดับรองว่าคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะออกกฎหมายมาในทิศทางไหน และขอให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นเมื่อมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นที่จะมีขึ้นเป็นระยะๆ

ด้านตัวแทนสื่อมวลชนที่ร่วมประชุมได้แสดงความคิดเห็นว่า กลไกสำคัญตามกฎหมายใหม่ที่จะกำหนดทิศทางคือคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีตัวแทนจากธุรกิจแอลกอฮอล์และภาคธุรกิจเข้ามาเป็นกรรมการด้วยซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ทำอย่างไรที่จะควบคุมหรือตรวจสอบอย่างเข้มข้นไม่ให้มีการแทรกแซงมาตรการต่าง ๆ ที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของตัวเอง และควรจะมีการจัดตั้งกลไกในการกำกับติดตาม ตรวจสอบ การทำงานของคณะกรรมการควบคุมเครื่อดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อไม่ให้ใช้อำนาจในการออกประกาศที่ไม่เหมาะสม และส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ และความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นตามมา

โดยมีตัวแทนจากภาคประชาสังคม และภาควิชาการ และสื่อมวลชนเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหม่ ส่วนกลไกคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดจะมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเข้ามาเป็นรองประธานทำอย่างไรที่นายกอบจ. ทุกจังหวัดซึ่งมีแนวโน้มจะได้รับมอบหมายเป็นประธานการประชุมแทนผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีภารกิจมากจะมีการประชุมตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องและจะการปกป้องคนในจังหวัดจากพิษภัยและผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าคิดถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจและการท่องเที่ยว และหวังว่าตัวแทนเยาวชนที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกเข้าไปเป็นกรรมการจะเป็นปากเป็นเสียงที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น

ข่าวที่น่าสนใจ

ศูนย์ข่าว TopNewsทั่วไทย ภาคเหนือ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

กฟผ.แม่เมาะ มอบผ้าห่ม 40 ผืน สนับสนนุนมูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อปนิวส์ ในกิจกรรม "ปันน้ำใจสู้ภัยหนาว"
โคราช เดินหน้าสู่ “เมืองอัจฉริยะต้นแบบชั้นนำของประเทศไทย” ร่วมมือสถาบันพัฒนาการเกาหลี สำรวจพื้นที่ครั้งที่ 1
เตรียมตัวลงทะเบียน "คนละครึ่งพลัส เฟส 2" จำนวน 10 ล้านสิทธิ วงเงินคนละ 2,000 บาท
สดุดีทหารกล้า “จ.ส.ท. จิระวัฒน์” วีรบุรุษช่องอานม้า ถูกทหารกัมพูชายิงเสียชีวิต จากเนิน 677
“รองฯ วีระชาติ” ร่วมต้อนรับคณะสมาคม AIPH ลงพื้นที่โคราช ดูความก้าวหน้าเตรียมจัด Korat Expo 2029
มสส. ร่วมกับ สสสย. จัดประชุมโฟกัส กรุ๊ป ในหัวข้อ "ทิศทาง กม.ลำดับรอง…หลังประกาศใช้ พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ใหม่

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​