ครม.ไฟเขียว เคาะ 3 แพ็กเกจเพิ่ม “สภาพคล่อง” SMEs อัดฉีด “สินเชื่อ-ค้ำประกันหนี้-เร่งคืนภาษีเงินได้” คาดช่วยหนุน GDP ปี 69 โตเพิ่มอีก 0.36%

ครม.ไฟเขียว เคาะ 3 แพ็กเกจเพิ่ม "สภาพคล่อง" SMEs อัดฉีด "สินเชื่อ-ค้ำประกันหนี้-เร่งคืนภาษีเงินได้" คาดช่วยหนุน GDP ปี 69 โตเพิ่มอีก 0.36%

ครม.ไฟเขียว เคาะ 3 แพ็กเกจเพิ่ม “สภาพคล่อง” SMEs อัดฉีด “สินเชื่อ-ค้ำประกันหนี้-เร่งคืนภาษีเงินได้” คาดช่วยหนุน GDP ปี 69 โตเพิ่มอีก 0.36%

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

 

 

2 ธ.ค. 2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการ ‘Quick Big Win’ เพื่อ SMEs ไทย เพื่อเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้ SMEs วงเงินรวม 3.27 แสนล้าน ผ่านโครงการสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 7 แห่ง วงเงิน 2.67 แสนล้านบาท และโครงการปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลางแบบ Fast Track วงเงิน 6 หมื่นล้านบาท

 

 

สำหรับมาตรการ ‘Quick Big Win’ เพื่อ SMEs ไทย ประกอบด้วย

1.การดำเนินโครงการสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 7 แห่ง วงเงินรวม 2.67 แสนล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย มาตรการสินเชื่อวงเงิน 2.17 แสนล้านบาท และค้ำประกันสินเชื่อวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ดังนี้

-บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ ‘SMEs Quick Big Win’ วงเงินโครงการรวม 5 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก แบ่งเป็น 3 โครงการย่อย ได้แก่

(1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Go Big สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป (2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Smart Win สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) และ (3) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Quick LG สำหรับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง หรือจัดซื้อหรือจัดจ้างของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคธุรกิจ รับคำขอค้ำประกันสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธ.ค.2569

นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 ที่ยังคงมีวงเงินเหลืออยู่ ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อวันที่ 30 ธ.ค.2568 ไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค.2569

-ธนาคารออมสิน ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย วงเงินสินเชื่อรวม 1 แสนล้านบาท เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเสริมสภาพคล่องแก่ภาคธุรกิจ รวมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการลงทุนเพื่อการปรับตัวและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย

โดยธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ สำหรับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อไปปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs แบ่งเป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่ (1) โครงการสินเชื่อกรณีเสริมสภาพคล่อง (Mitigation) ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 ก.ค.2569

(2) โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับภาคเอกชน โดยให้ภาคเอกชนประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขของการขอสินเชื่อ และประเภทธุรกิจเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายใน Reinvent Thailand

(3) โครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation) และ (4) โครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) โดยโครงการ Reinvent Thailand โครงการ Transformation และโครงการ Tourism สามารถรับคำขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 31 มี.ค.2570

-ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดำเนินโครงการสินเชื่อสำหรับภาคการเกษตร วงเงินรวม 8 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการเกษตร ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ 2 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืน (ชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 3) วงเงินสินเชื่อ 5 หมื่นล้านบาท และ (2) โครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโย วงเงินสินเชื่อ 3 หมื่นล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการรับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 31 ก.ค.2571

-ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME วงเงินสินเชื่อรวม 2 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมผู้ประกอบการ Micro SMEs วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท และผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงินรายละไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธ.ค.2569

-ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการประกันการส่งออก เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการส่งออกด้วยอัตราเบี้ยประกันพิเศษ และโครงการสินเชื่อ EXIM Expand Shield สำหรับสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการส่งออก วงเงินสินเชื่อ 1.2 หมื่นล้านบาท

-ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการมุสลิม วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าฮาลาลส่งออกหรือผู้ผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ฮาลาล

-ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท สำหรับการปลูกสร้าง ซื้อ ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง หรือต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม และเพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการบ้านจัดสรรในภูมิภาค สำหรับปลูกสร้างอาคารและสาธารณูปโภค

 

 

2.การเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันที่เป็นธรรมด้วยมาตรการด้านภาษี ประกอบด้วย

1) กรมสรรพากร ดำเนินโครงการพี่ช่วยน้อง โดยให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ช่วยสนับสนุนทรัพยากรและเทคโนโลยีให้แก่บริษัทใน Supply Chain เพื่อให้ปรับตัวเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะได้รับการคืนภาษีเร็ว และสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยคาดว่ามีผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 1,500 ราย เข้าร่วมโครงการ และคาดว่าจะได้รับคืนภาษีเร็วขึ้น 1,700 ล้านบาทต่อปี

และดำเนินโครงการปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลางแบบ Fast Track ซึ่งจะทำให้ SMEs เกือบ 20,000 ราย จำนวน 6 หมื่นล้านบาท ให้ได้รับคืนภาษีเร็วขึ้นภายในสิ้นปี 2568 และในอนาคตจะมีการพิจารณาเชื่อมโยงระบบ PromptBiz กับการให้สินเชื่อ Supply Chain Financing ซึ่งจะทำให้ SMEs ใน Supply Chain มีโอกาสได้รับสินเชื่อมากยิ่งขึ้น

2) กรมศุลกากร ดำเนินมาตรการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value : DMV) เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยในประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่เสียภาษีถูกต้อง ให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเพิ่มโอกาสให้ SMEs ผ่านมาตรการอื่นๆ ได้แก่

1) กรมบัญชีกลาง ดำเนินมาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐโดยการให้สินเชื่อกับคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังทดลองให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) และข้อมูลการเบิกจ่ายเงินจากระบบ New GFMIS Thai เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ ประกอบกับจะมีการโอนสิทธิการรับเงินให้กับธนาคารหรือบุคคลที่ 3 ได้ ซึ่งจะทำให้ SMEs และผู้ประกอบการคู่ค้าภาครัฐสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องได้ง่ายขึ้น

และมีแนวทางการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยกำหนดให้มีการให้แต้มต่อทางด้านราคาเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อีกร้อยละ 5 สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายรับไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปีบัญชี และได้รับอนุมัติให้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ จากระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงและแข่งขันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้

2) กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างพิจารณาจัดตั้ง E-commerce Platform ของประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยมี E-commerce Platform เป็นของคนไทยเอง เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการค้าหรือให้บริการผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“มาตรการ Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย มุ่งเน้นการเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความเป็นธรรม โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างความเป็นธรรมนั้น เราจะเก็บภาษีสินค้าจากต่างประเทศที่เข้ามาตีตลาดไทย ซึ่งเดิมเราเคยยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท เราจะเก็บตั้งแต่บาทแรก และยังจะมีการเก็บอากรด้วย เพื่อทำให้เกิดความเป็นธรรมกับ SMEs ไทย รวมทั้งเพิ่มโอกาสและศักยภาพให้ SMEs ไทย” นายเอกนิติ ระบุ

นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า มาตรการ ‘Quick Big Win’ เพื่อ SMEs ไทย จะช่วย SMEs ประมาณ 1.07 แสนราย ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ 2.7 แสนล้านบาท และจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.36%

“มาตรการฯดังกล่าว จะมีทั้งมาตรการสั้น และมาตรการยาว ซึ่งเงินที่จะลงไปได้ทันที คือ เงินจากการคืนภาษีฯของกรมสรรพากร 6 หมื่นล้านบาท และจะมีสินเชื่อบางส่วนจากมาตรการสินเชื่อทั้งหมด 2.17 แสนล้านบาท เข้ามาได้เลยเช่นกัน โดยมาตการทั้งหมดนี้จะช่วยจีดีพีไทยได้ 0.3-0.4% เมื่อรวมกับมาตรการเสาแรก คือ คนละครึ่งพลัส คาดว่าในช่วงไตรมาส 4 จีดีพีจะดีกว่า 0.3% ตามที่เคยได้คาดการณ์ไว้แน่นอน

โดยก่อนหน้านี้ สภาพัฒน์ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) คาดการณ์ไตรมาส 4 จีดีพีจะโต 0.6% แต่เราคาดว่าจะดีกว่า 0.6% ด้วยซ้ำ และน่าจะใกล้เคียง 1% ในขณะที่ผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินว่าจะอยู่ที่ 0.1% เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ใหญ่มาก ในเชิงผลกระทบเศรษฐกิจไม่กระทบเยอะ แต่ผลกระทบต่อชีวิตคนมันใหญ่มาก” นายเอกนิติ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สุโขทัย แถลงข่าวการจัดงาน “ย้อนอดีตศรีสัชนาลัย นุ่งผ้าไทย ใส่เงิน ทอง ลายโบราณ สืบสานวัฒนธรรมอันล้ำค่า” ประจำปี 2568
ส.ป.ก.ส่งต่อธารน้ำใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้
เลขาธิการ ส.ป.ก. ติดตาม รองนายกฯ นำ 4 กระทรวง ลงพื้นที่กู้หาดใหญ่ หลังวิกฤตน้ำท่วมคลี่คลาย
ซัมซุงเปิดตัวสมาร์ทโฟนจอพับได้ 3 ทบรุ่นแรก
ผู้นำฮ่องกงตั้งทีมอิสระสอบเหตุไฟไหม้
ครม.ไฟเขียว เคาะ 3 แพ็กเกจเพิ่ม "สภาพคล่อง" SMEs อัดฉีด "สินเชื่อ-ค้ำประกันหนี้-เร่งคืนภาษีเงินได้" คาดช่วยหนุน GDP ปี 69 โตเพิ่มอีก 0.36%

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​