โรธ สันตเพียก นักวิเคราะห์กัมพูชาได้เขียนบทความผ่านขแมร์ไทมส์เมื่อวานนี้ (อังคารที่ 11 พย.) วิพากษ์วิจารณ์นายอนุทินที่หลั่งน้ำตาขณะเยี่ยมทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดครั้งล่าสุดว่าเป็น “น้ำตาจระเข้” เป็นการเสแสร้ง ไม่จริงใจ เป็นหลั่งน้ำตาต่อหน้ากล้อง ถือเป็นการจัดฉากได้อย่างลงตัว แต่เบื้องหลังน้ำตาและสีหน้าที่โศกเศร้ากลับซ่อนบางสิ่งบางอย่าง
นายโรธกล่าวว่าหากน้ำตาเหล่านั้นเป็นน้ำตาแห่งสันติภาพอย่างแท้จริงก็คงจะตามมาด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความยับยั้งชั่งใจ และการพูดคุยเจรจา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออารมณ์ที่โกรธแค้น และการกล่าวหากัมพูชา โดยในวันเดียวกันนั้นเอง อนุทินได้ประกาศต่อหน้าทหารว่า “สันติภาพได้สิ้นสุดลงแล้ว” ถือเป็นการฉีกปฎิญญากัวลาลัมเปอร์ แบบไม่ปรึกษาใคร คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่คำพูดของผู้สร้างสันติภาพ แต่เป็นคำพูดของผู้แสวงผลประโยชน์ทางการเมืองโดยเอาทหารที่บาดเจ็บมาเป็นเครื่องมือ และเพื่อทำลายความชื่อถือของข้อตกลงสันติภาพและกล่าวหากัมพูชาโดยไม่มีหลักฐาน
นายโรธกล่าวว่าผู้นำไทยเลือกกลยุทธ์ที่เก่าแก่ที่สุดในทางการเมือง คือการบีบน้ำตาจระเข้ต่อหน้าสาธารณชน แต่แอบไปสั่งการกันลับหลัง ทั้งหมดนี้เป็นแผนที่จะละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกติกาอาเซียน และยังเป็นการปฏิเสธข้อตกลงสันติภาพที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐและนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยานเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ในขณะที่กัมพูชาปฎิบัติตามข้อตกลงทุกประการ
นายโรธยังอวยประเทศตัวเองว่าใช้เวลาถึง 30 ปีในการกำจัดทุ่นระเบิดกว่าสองล้านลูก ทั้งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในเรื่องนี้ แล้วจะไปวางทุ่นระเบิดใหม่ได้อย่างไร การกล่าวหากัมพูชาว่าแอบวางทุ่นระเบิดใหม่จึงไม่สมเหตุสมผล นอกจากนี้กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แสดงความเสียใจไปแล้ว

