AFP รายงานว่าผู้ขับขี่จักรยานยนต์จำนวนมากต่างแสดงความไม่พอใจต่อแผนปฏิรูปสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลเวียดนามซึ่งได้ออกมาประกาศเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่านับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2569 เป็นต้นไป รถจักรยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะไม่สามารถเข้าสู่ด้านในของกรุงฮานอยซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 31 ตารางกิโลเมตร และหลังจากนั้นก็จะขยายไปบังคับใช้กับยานยนต์ที่ใช้น้ำมันทั้งหมดภายในเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ตามรถจักรยานยนต์กับกรุงฮานอยถึอเป็นของคู่กันมานานหลายสิบปี โดยเมืองนี้มีประชากร 9 ล้านคนและมีจำนวนรถจักรยานยนต์เกือบ 7 ล้านคน โดยแม่บ้านเวียดนามรายหนึ่งเผยว่าบ้านเธอมีรถจักรยานยนต์ 4 คัน การเปลี่ยนรถจักรยานยนต์ 4 คันมาเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหรืออีไบค์ต้องใช้เงินราว 80 ล้านดอง หรือกว่า 9 หมื่น 7 พันบาท ถือเป็นภาระหนักของครอบครัว เพราะอีไบค์ราคาแพงกว่ารถจักรยานยนต์เครื่องสันดาบ นอกจากนี้จุดชาร์จไฟฟ้าก็ไม่เพียงพอ และไม่ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง การวางแผนโดยไม่มีการเตรียมความพร้อมถือเป็นการผลักภาระให้ประชาชน แม้หลายคนจะยอมรับว่าการเปลี่ยนมาอีไบค์จะช่วยลดมลพิษทางอากาศ
แม้รัฐบาลเวียดนามกำลังพิจารณาให้เงินอุดหนุน 3 ล้านดองหรือราว 3 พัน 700 บาทต่อการเปลี่ยนรถจักรยานยนต์ 1 คัน แต่สำหรับจยย.ที่บริการส่งอาหารตามบ้านก็บอกว่าไม่คุ้มกัน เพราะนอกจากราคาแพงแล้ว ก็ไม่มั่นใจว่าอายุแบตเตอรี่จะทนกับการใช้งานระยะยาวและระยะไกลขนาดไหน
ก่อนหน้านี้รองนายกเทศมนตรีฮานอยออกมาประกาศว่ามลพิษทางอากาศเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อม โดย 50% ของแหล่งมลพิษในฮานอยมาจากยานยนต์เครื่องสันดาษ และว่าถึงเวลาแล้วที่ฮานอยจะต้องยกเครื่องและแก้ปัญหามลพิษทางอากาศครั้งใหญ่
ขณะที่นครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางเศรษฐกิจทางภาคใต้ของเวียดนามก็ตั้งเป้าจะค่อยๆเปลี่ยนรถจักรยานยนต์ส่งอาหารและสินค้าให้เป็นอีไบค์ภายใน 2-3 ปี อย่างไรก็ตามผู้ขับขี่หลายคนมองว่านโยบายนี้ไม่ได้ผล เพราะตำรวจไม่สามารถสกัดรถจักรยานยนต์นับพันๆคันจากการเข้าสู่พื้นที่ด้านในของฮานอยพร้อมๆกันอย่างแน่นอน