อิกอร์ เตเรคอฟ นายกเทศมนตรีเมืองคาร์คิฟ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน แจ้งว่า ระเบิดนำวิถีของรัสเซีย โจมตีอาคารที่พักอาศัย 12 ชั้น เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ (15 ก.ย.) ระเบิดพุ่งใส่ชั้น 10 ของอาคาร ทำให้เกิดไฟไหม้และลุกลามไปทั่ว 4 ชั้น ระหว่างชั้น 9 ถึงชั้น 12 พนักงานดับเพลิงดับไฟได้สนิทแล้ว และกำลังค้นหาผู้ที่อาจติดอยู่ในซากอาคารส่วนที่เสียหาย
สำนักงานฉุกเฉินยูเครน แจ้งความคืบหน้าในช่วงค่ำว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งนี้อย่างน้อย 43 ราย จำนวนนี้เป็นเด็ก 4 คน พบร่างผู้เสียชีวิต 1 รายบนชั้น 9 คาดว่าเป็นสตรีวัย 94 ที่มีรายงานว่าสูญหายหลังเกิดเหตุ การโจมตีครั้งนี้ยังทำให้อพาร์ตเมนต์อย่างน้อย 7 หลัง และรถ 20 คัน ได้รับความเสียหาย
คาร์คิฟ เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่สุดของยูเครน และเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสำคัญ ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนรัสเซีย ตกเป็นเป้าโจมตีจากรัสเซียหลายครั้ง
อีกด้านหนึ่ง รัสเซียยิงขีปนาวุธโจมตีเมืองโอเดสซา เมืองท่าแถบทะเลดำของยูเครน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายเป็นสามีภรรยาในวัย 60 ปีเศษ กองทัพยูเครนยิงโดรนตก 10 ลำจาก 14 ลำ และยิงทำลายขีปนาวุธรัสเซีย 1 ลูกจาก 3 ลูกที่ยิงเข้าไปโจมตี
ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี้ แห่งยูเครน กล่าวว่า โลกจะต้องช่วยปกป้องยูเครนจากเครื่องบินรบ และระเบิดนำวิถีของรัสเซีย ที่คร่าชีวิตชาวยูเครนในทุก ๆ วัน สัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียยิงขีปนาวุธหลายชนิดกว่า 30 ลูก ระเบิดนำวิถีกว่า 800 ลูก และโดรนอีกเกือบ 300 ลำโจมตียูเครน
จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯยังยืนยันให้ยูเครน ใช้อาวุธพิสัยไกลที่จัดหาให้ เฉพาะในเขตชายแดนรัสเซียที่ติดกับยูเครนเท่านั้น ส่วนรัฐบาลอังกฤษที่กำลังถูกกดดันให้ไฟเขียวยูเครน ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกล “สตอร์ม ชาโดว์” ในรัสเซียได้ ก็ยังไม่มีการตัดสินใจเป็นอย่างอื่นเช่นกัน หลังจากที่เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ พบหารือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่กรุงวอชิงตัน ดีซี เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ กล่าวว่า เขาหารือเรื่องนี้กับพันธมิตร แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ว่าเหตุใดจึงยังไม่มีการตัดสินใจในเรื่องนี้