นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ออกมากล่าวในการแถลงข่าวภายหลังการประชุมร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของสหรัฐกับออสเตรเลียในกรุงวอชิงตันว่า ฝรั่งเศสเป็น “หุ้นส่วนสำคัญ” ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และสหรัฐจะยังคงทำงานร่วมกับฝรั่งเศสต่อไป ทั้งนี้ ความคิดเห็นของบลิงเคนมีจุดมุ่งหมายเพื่อระงับความไม่พอใจของฝรั่งเศส หลังจากที่สหรัฐ ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร บรรลุข้อตกลงส่งออกด้านการป้องกันประเทศครั้งประวัติศาสตร์และเริ่มภารกิจแรกด้วยการจัดหาเรือดำน้ำให้กับออสเตรเลีย
บลิงเคนได้เปิดเผยว่า สหรัฐได้ติดต่อกับคู่สัญญาของฝรั่งเศสก่อนที่จะประกาศข้อตกลงเรือดำน้ำ แต่โฆษกสถานทูตฝรั่งเศสในวอชิงตันกล่าวว่าไม่มีการปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าวมาก่อนหน้านี้
ผู้นำทั้ง 3 ประเทศประกาศเมื่อวันพุธว่าพวกเขาจะเป็นหุ้นส่วนด้านความปลอดภัยสำหรับอินโด แปซิฟิก โดยจะให้ความช่วยเหลือออสเตรเลียในเรื่องเรือดำน้ำพลังงานิวเคลียร์ ทำให้ออสเตรเลียยกเลิกข้อตกลงเรือดำน้ำที่กับฝรั่งเศสมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท
ด้านฝรั่งเศสได้ออกมาประณามถึงข้อตกลงนี้ โดยมองว่าเป็นการหักหลังจากออสเตรเลีย และไบเดนก็มีการกระทำไม่ต่างจากทรัมป์ ซึ่งยุโรปไม่พอใจถึงการตัดสินใจที่คาดเดาไม่ได้ สิ่งที่ทำไม่ใช่สิ่งที่พันธมิตรควรทำต่อกัน
ในปี 2559 ออสเตรเลียได้เลือกทำข้อตกลงกับ Naval Group ซึ่งเป็นบริษัทต่อเรือของฝรั่งเศสเพื่อสร้างกองเรือดำน้ำใหม่เพื่อทดแทนเรือดำน้ำเก่าที่มีอายุมากกว่า 20 ปี
สหรัฐ และพันธมิตรกำลังมองหาวิธีที่จะต่อต้านอำนาจและอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมกำลังทางทหาร แรงกดดันที่จีนมีต่อไต้หวัน และความขัดแย้งในทะเลจีน อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวได้ออกมาปกป้องการตัดสินใจครั้งนี้ว่า ไม่ใช่เรื่องของการสร้างความขัดแย้งกับจีนแต่อย่างใด
ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน จ้าว ลี่เจี้ยน ได้ออกมาประณามถึงข้อตกลงดังกล่าวเช่นกัน โดยบอกว่า ทั้ง 3 ประเทศกำลัง ทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอย่างรุนแรง จะมีการแข่งขันด้านอาวุธที่เข้มข้น และจะทำให้เกิดการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ ประเทศต่างๆ ไม่ควรสร้างพันธมิตรที่กำหนดเป้าหมายไปยังประเทศที่ 3 และจีนจะจับตาดูสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด