ส่วนคดีอาญา ในความผิดฐานฟอกเงิน หรือ สมคบกันฟอกเงิน ตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน ที่อยู่ในอำนาจาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อคณะกรรมการคดีพิเศษรับเป็นคดีแล้ว เป็นหน้าที่ของ คณะทำงานพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษที่มีองค์ประกอบพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วย ย่อมนำผลคดีที่ กกต.วินิจฉัยชี้ขาด ไปแจ้งข้อหากับผู้ถูกกล่าวหา 229 คนด้วย
ส่วนพยานรายกลับคำให้การชั้นสอบสวน เป็น “กลลวง”โยนหินถามทางและกระแสสังคม
เดิมพยานรายดังกล่าว เป็นผู้ต้องหาผู้ร่วมกันกระทำความผิด ต่อมาให้การเป็นประโยชน์ในชั้นสอบสวน ย่อมเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกันไว้เป็นพยานได้ หากเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ตาม พรบ.สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547
โดยหลักในคดีอาญา ห้ามโจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน ส่วนชั้นพิจารณา หน้าที่นำสืบก่อน เป็นหน้าที่ของโจทก์ โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องและศาลเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
หาก พยานกลับคำให้การอ้างว่า ได้ถูกวางงาน โดย “ท่องบท” ให้ร้ายต่อพรรคภูมิใจไทย เพราะถูกบังคับขู่เข็ญ เมื่อการเมืองเปลี่ยน มาให้ถ้อยคำใหม่ ต้องพิจารณาว่า ถูกคณะพนักงานสอบสวนขู่เข็ญจริง หรือ ตัวแปรภายหลัง เป็นเพียงแลกผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะย้ายสังกัดพรรครัฐบาล เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะหากการกลับคำให้การ เพราะถูกขู่เข็ญจะต้องเกิดจากพนักงานสอบสวน มิใช่เกิดจากบุคคลภายนอก การกลับคำให้การจะต้องสมเหตุสมผล เพราะการให้ถ้อยคำทันทีโดยพลันแต่แรกต่อเจ้าพนักงาน ศาลเชื่อว่าเป็นจริง ส่วนกลับคำให้การภายหลังอ้างเพราะภัยหมดไป เพราะเหตุการเมืองเปลี่ยน ย่อมมีน้ำหนักน้อย
โดยเฉพาะการท่องบท การพูด เหมือนแกงค์สแกรมเมอร์ หรือแกงค์คอลเซนเตอร์ ไม่สมเหตุสมผล กับการให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวน มีความแตกต่างกัน เพราะคำให้การ เอกสารท่อนตอนท้าย ระบุว่า “ข้าฯให้การต่อความเป็นจริงทุกประการ” และลงชื่อในคำให้การพยาน
เหตุที่เป็นเช่นนี้ คณะพนักงานสอบสวน กระทำเป็นองค์คณะ มิได้กระทำเพียงคนเดียว มีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วย การบังคับขู่เข็ญ จะต้องได้ความว่า คณะพนักงานสอบสนวนคดีพิเศษ รายใด บังคับขู่เข็ญ ทั้ง ไม่มีผลต่อคดีของ กกต.เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ กกต.ต้องถือผลคดีตามคดีฟอกเงินของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ
แม้ผู้ต้องหาที่กันไว้เป็นพยานกลับคำให้การ คณะพนักงานสอบสวนย่อม สามารถมีความเห็นสั่งฟ้องในฐานะผู้ต้องหาได้เพราะยังไม่สรุปผลการสอบสวนส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ เพราะตัวผู้ต้องหากันไว้เป็นพยาน ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดี
สำเนา “บันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน” สภ.ขอนแก่น มิใช่เป็นการ “ร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีอาญากับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษรายใด” พยานปากดังกล่าว อ้างว่า ถูกข่มขู่ หรือ ขู่เข็ญ เพื่อบังคับเพื่อให้การปรักปรำให้ร้ายพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างถึงบุคคลภายนอกคดี มิใช่พนักงานสอบสวนในคดี ย่อมทำให้มีน้ำหนักน้อย รับฟังไม่ได้
อีกทั้ง พยานปรปักษ์เช่นนี้ ในชั้นพิจารณา พนักงานอัยการย่อมถามความแบบ “ปรปักษ์” และใช้ “คำถามนำ”ได้ เพื่อทำลายน้ำหนักของพยานปากดังกล่าว
ศาลฎีกาได้วางแนวคำพิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานว่า “ถ้อยคำของพยานหรือผู้กล่าวหาแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบโดยพลัน แม้กลับให้การในภายหลัง ไม่สมเหตุสมผล” ย่อมมีน้ำหนักรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นลงโทษจำเลยได้
ชั้นพิจารณา หากพยานฝ่ายโจทก์กลับคำให้การ เป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการ ถามความแบบปรปักษ์เพื่อค้นหาความจริงและภายหลังเบิกความแล้ว ต้องแจ้งให้พนักงานสอบสวน ดำเนินคดีอาญาฐานแจ้งความเท็จแก่พนักงานสอบสวน ตาม ปอ.มาตรา 172,173,174
ส่วนเทคนิค หากเป็นพยานในสำนวน กกต.ด้วย พยานปากดังกล่าว จะใช้เทคนิคเดียวกัน ยื่นคำร้องต่อประธาน กกต.ในลักษณะเดียวกัน เพื่อเปิดช่องให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องปัญหาหรือข้อโต้แย้ง ชุดที่ 36 มีความเห็นสั่งสอบพยานบุคคลปากดังกล่าวเพิ่มเติม แม้พยานปากดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือ แต่เป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน หากมีการตั้งธงเป่าคดี อาจนำเหตุผลนี้ไประบุว่า “มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน” พยานกลับคำให้การ มีผลทำให้น้ำหนักคดีเปลี่ยนไป หากเป็นประจักษ์พยานสำคัญเพียงปากเดียว ย่อมทำให้โอกาสน้ำหนักคดีลดน้อยลง ส่งผลต่อคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีในชั้นที่ประชุม กกต.ด่านสุดท้าย