รอยเตอร์สรายงานว่าระหว่างการแถลงต่อรัฐสภาญี่ปุ่นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (10 พย.) นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่นได้กล่าวเป็นนัยน์ว่ามีความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นอาจปรับเปลี่ยนนโยบายว่าด้วยอาวุธนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นเคยยึดมั่นในหลักการที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงเกือบ 60 ปีที่ผ่านมา
ทาคาอิจิกล่าวว่าเธอไม่สามารถระบุหรือรับประกันได้ว่าหลักการสามประการ ซึ่งรวมถึงการไม่ครอบครอง, ผลิต และนำอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาในดินแดน จะยังคงมีผลบังคับใช้ในกฎหมายยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ของญี่ปุ่นที่กำลังจะมีการแก้ไขในเร็วๆนี้หรือไม่ แต่ในขณะนี้ญี่ปุ่นจะยังคงยึดหลักการและแนวทางเดิม
ทาคาอิจิเคยออกมาปฎิเสธที่จะยึดมั่นในหลักการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นยึดถือมาตั้งแต่ปี 2510 ทำให้เกิดการคาดการณ์กันว่ามีความเป็นไปได้ที่ทาคาอิจิอาจพยายามแก้หลักการข้อที่สามที่ “ห้ามนำอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาในดินแดนของญี่ปุ่น”
ในหนังสือที่ทาคาอิจิเขียนขึ้นในปี 2567 ก่อนเข้ารับตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่น ทาคาอิจิอธิบายว่าหลักการดังกล่าวว่าไม่สอดรับกับความเป็นจริง เนื่องจากสหรัฐอาจจำเป็นต้องนำอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาในญี่ปุ่นเพื่อสกัดคู่แข่ง ซึ่งญี่ปุ่นก็มีสถานะเดียวกับเพื่อนบ้านเกาหลีใต้ ที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ร่มนิวเคลียร์ของสหรัฐ
จากรายงานของรอยเตอร์สในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาชี้ว่าชาวญี่ปุ่นทั้งในวงการการเมืองและประชาชนทั่วไปเริ่มผ่อนคลายกับหลักการต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ที่ยึดถือมายาวนาน แม้ประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ยังเป็นหัวข้อต้องห้ามในญี่ปุ่นเนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวที่ถูกโจมตีด้วยอาวุธปรมาณูในสงครามโลกครั้งที่สอง
ทั้งนี้สมาชิกสภาผู้แทนฯจากพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นด้วยกับการอนุญาตให้สหรัฐนำอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาในญี่ปุ่นไม่ว่าจะมากับเรือดำน้ำหรือในรูปแบบอื่น และเคยเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนหลักการทั้ง 3 ข้ออีกครั้ง
แม้กลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์ในญี่ปุ่นยังคงเคลื่อนไหวและคัดค้านอย่างรุนแรง แต่ความทรงจำจากเหตุการณ์โจมตีฮิโรชิมาและนางาซากิเริ่มเลือนลาง แต่กลับแทนที่ด้วยความวิตกจากภัยคุกคามในภูมิภาค ทำให้โพลชี้ว่าชาวญี่ปุ่นเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นเรื่องอาวุธนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตามมิโนรุ คิฮาระ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น ปฏิเสธที่จะชี้แจงถึงจุดยืนของทาคาอิจิ เมื่อถูกถามระหว่างการแถลงข่าวในวันนี้ (พุธที่ 12 พย.)

